มีประโยคอยู่ประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก บอกเอาไว้ว่า “ถ้าเรามีเงินคนละ 1 บาท แล้วเอามาแลกกัน เราจะยังคงมีเงินคนละ 1 บาท เท่าเดิม แต่ถ้าเรามีความคิดดีๆ คนละ 1 ความคิด แล้วเอามาแลกกัน เราจะมีความคิดดีๆ คนละ 2 ความคิด”
อ่านเจอครั้งแรกได้แต่ผงกหัวตามยอมรับแต่โดยดีไม่มีข้อแม้ หรือว่าขัดขืนอะไรทั้งสิ้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่ผมอ่านเจอประโยคนี้ หากมีโอกาสได้พูดคุยกับใคร ผมมักจะสอบถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่เสมอเกี่ยวกับมุมมองของคนคนนั้น
เสาร์ – อาทิตย์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปงาน CMU Book Fair ที่จัดขึ้นกันในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครั้งที่ 19 ใจจริงที่แรกกะจะไปเดินหาดูหนังสือซื้อมาอ่านประดับความรู้สมองซักหน่อย แต่พอเช็ครายละเอียดงานอย่างแน่ชัดแล้ว กลับพบเจออะไรดีๆที่มากกว่าการไปดูหนังสือ
อะไรดีๆที่ว่าคือ การมีนักเขียนตัวเป็นๆดิ้นได้มาพบปะพูดคุยกับคนอ่าน เสวนากันทั่วไป และเมื่อกวาดสายตาไล่ดูรายชื่อนักเขียนกันแล้ว ผมจิ้มไปที่ “หนุ่ม เมืองจันท์” เจ้าของคอลัมน์ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ในมติชนสุดสัปดาห์ ทันทีอย่างไม่ลังเล
ด้วยผลงานการันตีออกมาแล้วทั้งหมด 19 เล่ม และติดใจในแง่มุมความคิดเวลาอ่านหนังสือหรืออ่านในคอลัมน์ประจำ ผมเลยคิดว่าลองไปนั่งฟัง “หนุ่ม เมืองจันท์” พูดซักหน่อยแล้วค่อยไปดูหนังสือ ก็คงจะเข้าท่าดี
และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ข้อคิดหลายๆอย่างจาก “หนุ่ม เมืองจันท์” ไหลพรั่งพรูออกมามากมาย เอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้เยอะ
“หนุ่ม เมืองจันท์” บอกไว้ว่า คนเราเวลาจะทำอะไรให้สำเร็จ เราต้องจัดการกับคำว่า “ไม่” ให้ได้ อย่าปฏิเสธอะไรในทันที แล้วบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ หากยังไม่เคยทำ จำเป็นต้องให้โอกาสตัวเองได้ลอง ลองทำ ลองเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้โอกาสเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และเมื่อลองทำแล้วถ้ามันไม่ใช่ ก็ค่อยถอยกลับหลังใหม่มาอยู่ในที่ที่เราชอบ เราอยากทำก็ได้
เมื่อถึงเวลาที่เปิดโอกาสให้คนอ่านได้ซักถาม ผมเลยยิงคำถามไปว่า “แรงบัลดาลใจในการใช้ชีวิตของคุณ” คืออะไร?
“หนุ่ม เมืองจันท์” บอกไว้พอจะสรุปได้ว่า “ชีวิตของผมผ่านการสัมภาษณ์คนมีชื่อเสียงมาเยอะ ทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ แต่มีอยู่สองคนที่เป็นแรงบัลดาลใจ เมื่อผมมีโอกาสไปสัมภาษณ์แล้วเขียนลงหนังสือ คือคุณตัน เจ้าของชาเขียวอิชิตัน และคุณต๊อบ เจ้าของสาหร่ายเถ้าแก่น้อย โดยก่อนที่สองคนนี้จะประสบความสำเร็จ เขาทั้งสองทำอะไรโดยไม่มีเงื่อนไข ข้อจำกัด ข้ออ้าง ว่าไม่มีทางที่ตัวเองจะทำได้ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นความยอดเยี่ยมในการฝ่าฟันอุปสรรคจนประสบความสำเร็จในชีวิต”
เรียกว่าคมคายจริงๆสำหรับคำตอบและข้อคิดจาก “หนุ่ม เมืองจันท์” จากการมานั่งฟังบรรยาย เกือบๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งพอตอบคำถามกับมิตรรักแฟนหนังสือเสร็จ ก็ได้เวลาแจกลายเซ็นถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก ซึ่งพอเสร็จจาก “หนุ่ม เมืองจันท์” ก็ต่อด้วยบรรยายของนักเขียนรางวัลซีไรต์คนล่าสุด คุณวิภาส ศรีทอง เจ้าของผลงาน “คนแคระ”
ส่วนตัวกระผมก็ได้เวลาไล่กวาดออกล่าหาดูหนังสือตามบูธต่างๆ งานนี้มาหลากหลายร้าน หลายสำนักพิมพ์มาจัดกันเยอะ ขาใหญ่วงการหนังสือ อย่างซีเอ็ด อมรินทร์ เนชั่น มติชน นานมีบุ๊คส์ ก็มากันครบทีม
หนังสือส่วนใหญ่ที่ลดราคากันเยอะๆ จะเป็นพวกร้านที่มาจัดบูธกันมากกว่า ประเภทเอาหนังสือเก่ามาโละขายครึ่งราคา หรือว่าเล่มละ 50 บาท เล่ม 20 บาท วางกองกระจัดกระจายอยู่ในกระบะหนังสือหลากหลายเล่ม
ประเภทหนังสือที่เอามาลดกันเยอะเห็นจะเป็นพวกนิยาย ทั้งนิยายไทย นิยายวัยรุ่น จีนกำลังภายใน สืบสวนสอบสวน ฆาตกรรม เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคอนิยายกันเลยหากมาเดินดูหนังสือในงานนี้
ที่รู้สึกห่อเหี่ยวใจเป็นบางครั้งคือการเห็นหนังสือบางเล่มที่เคยอ่านแล้วเป็นหนังสือดี แต่กลับถูกหมางเมิน ไร้การเหลียวแล แถมเอามาลดราคาเหลือซะจนเหมือนว่ามันไม่มีราคาอยู่ในตัวมันเลย
อารมณ์จะประมาณว่าเห็นหนังรางวัลออสการ์ราคาแผ่นล่ะ 10 บาทครับ
แต่เรื่องแบบนี้ไม่มีผลกับการเลือกหนังสือสำหรับผม ผมไม่สนว่าจะราคาเท่าไหร่ ผมสนแต่เนื้อหาของหนังสือข้างใน เนื้อหาที่บ่งบอกคุณค่าของหนังสือเล่มนั้นจริงๆ ยิ่งหนังสือดีๆ จากปลายปากกานักเขียนชั้นเซียนเอามาลดราคา โดยไม่มีหมาตัวไหนเหลียวแล ไปหลบซ่อนอยู่ในมุมอับ ผมยิ่งชอบ
หนังสือดีบ้างครั้งไม่จำเป็นต้องขายดี และหนังสือขายดีก็ไม่จำเป็นต้องดีเสมอไป ใช่มั้ยครับ? คุณผู้อ่านที่รัก
