info. ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย, ชุมชนบ้านท่ามะโอ, พระธาตุลำปางหลวง, อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน, บ่อนำร้อนแจ้ซ้อน, น้ำตกแจ้ซ้อน, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้
หลายคนไปเที่ยวที่ไหนก็มักจะมีการเช็ตโปรแกรมกันล่วงหน้าว่าจะไปกันกี่วันกี่คืน ต้องไปแวะที่ไหนกันบ้าง แต่ละที่ใช้เวลานานเท่าไหร่
บ้างก็จัดโปรแกรมกันเอง หรือไม่ก็หาเอาตามทัวร์ต่างๆที่เข้าจัดไว้ให้แล้วเรียบร้อย ชนิดไปถึงปุ๊บก็จัดการปั๊บแบบทันใจ
คราวที่แล้วผมแนะนำทริปแอ่วอ่างข่างไปแล้ว มาคราวนี้จะพาอ้อมข้ามจังหวัดกันบ้าง และที่อ้อมก็ไม่ถึงกับไกลมากหรอกครับ ก็เพื่อนบ้านใกล้ๆกันกับเชียงใหม่นี่แหละ
ทริปที่ว่าก็คือเส้นทางเชียงใหม่ – ลำปาง – แจ้ซ้อน – ดอยสะเก็ด – เชียงใหม่
แค่เห็นแล้ว ก็อยากไปใช่มั้ยล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูกันว่าทริปนี้มีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
ออกสตาร์ทจากเชียงใหม่ไปยังเส้นถนนจะไปลำปาง ที่แรกเลยที่จะต้องแวะคือศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อ.ห้างฉัตร สถานที่ฝึกลูกช้างแห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีการแสดงของช้างในแต่ละวันให้ได้เลือกเข้าชมกันถึง 3 รอบ คือ 10.00 น. 11.00 น. และ13.30 น.ทุกวัน ที่สำคัญต้องไปให้ทันรอบนะครับ จะได้ไม่เสียเวลาจนส่งผลกระทบกับที่อื่นๆด้วย
ดูน้อช้างพลินเพลิดจำเริญใจเสร็จ ก็มุ่งหน้าเข้ามาในเมืองลำปาง แต่ก่อนจะไปถึงตัวเมือง ก็ต้องแว่บมาสักการะกราบไหว้พระธาตุลำปางหลวง พระธาตุสำหรับคนเกิดปีฉลูกันก่อน แล้วจากนั้นก็ยิงยาวเข้าในเมือง เพื่อมาเที่ยวที่ชุมชนท่ามะโอ ที่วางตัวอยู่ฝั่งทางเหนือของสะพานข้ามแม่น้ำวัง บริเวณสะพานเขลางค์ ชุมชนเก่าแก่ของเมืองลำปาง ตั้งแต่สมัยชาวพม่าเข้ามาทำการค้าไม้สักกับชาวอังกฤษ โดยมีบ้านไม้สักเก่าแก่โบราณอายุ 115 ปี เห็นได้ยลโฉมความงดงามกัน
เมื่อเต็มอิ่มกับวัฒนธรรมกันไปบ้างแล้ว คราวนี้ก็แวะมาฝั่งธรรมชาติบ้าง จากตัวเมืองลำปางก็เหยียบคันเร่งยาวๆ ใส่ต่อกันมาเลยที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ที่เปิดให้เที่ยวกันตลอดทั้งปี (แต่ไม่ทั้งชาติ) ช่วงที่กำลังเหมาะเหม็งพอดีคงหนีไม่พ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์
จุดเด่นของดีอุทยานที่นี้คือบ่อน้ำพุแจ้ซ้อนในระดับอุณหภูมิ 73 องศาเซลเซียส ทั้งหมด 9 บ่อ แถมยังมีบ่อน้ำร้อนเอาไว้ให้แช่หรืออาบกันตามอุณหภูมิที่เหมาะสม นอกจากจะมีบ่อน้ำร้อนเป็นที่ขึ้นชื่อแล้ว ที่นี้ยังมีน้ำตกแจ้ซ้อน 6 ชั้น ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันจากที่ทำการอุทยาน โดยสามารถเดินจากบ่อน้ำร้อนทะลุไปยังน้ำตกได้
ตบท้ายกันด้วยศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ซึ่งพอเราออกจากอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ก็ตรงมายังเส้นทางหมายเลข 118 กันเลย ซึ่งทางศูนย์จะตั้งอยู่ในเขตรอยต่อของตำบลป่าเมี่ยง และตำบลแม่โป่ง อำเภอดอยสะเก็ด ที่นี้เขามีงานศึกษาและพัฒนาแหล่งน้ำ ปศุสัตว์และโคนม ประมง การปลูกหญ้าแฝก และการดำเนินงานหมู่บ้านรอบบริเวณศูนย์ ถือเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อีกทั้งเป็นสถานที่ศึกษาเกี่ยวกับนิเวศวิทยาได้เป็นอย่างดี
พอคำนวณเงินในกระเป๋าสตางค์แล้วสำหรับทริปนี้ก็ตกประมาณ 3500 บาท แบบสบายๆใน 3 วัน 2 คืน โดยคืนแรกจะนอนที่ตัวเมืองลำปาง และคืนที่สองก็ไปหลับที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
หวังว่าทริปนี้คงจะเหมาะกับหลายๆคนนะครับที่อยากจะหาเวลาว่างไปพักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุด เพราะทริปนี้รวบรวมไว้กันอย่างครบครันทั้งแบบวัฒนธรรม และแบบธรรมชาติ
อ่านจนจบมาถึงบรรทัดนี้แล้ว อยากไปใจจะขาดใช่มั้ยล่ะครับ อิอิ