พังก์ในมุมมองของคุณเป็นอย่างไร ? นี่คือ คำถามที่จะต้องถามหลายท่านก่อนที่จะพาไปรู้จักพวกเขาเหล่านี้ เพราะเราเชื่อว่าหลายท่านคงมีภาพในหัวว่า พังก์ จะต้องเป็นเหล่าบรรดา คนหัวรุนแรง โหด เกเร ทำผมตั้ง เจาะนั้นเจาะนี้ แต่งตัวแนวแบบจัดเต็มไปวันๆ เพื่อโชว์นั้น โชว์นี้ ฟังเพลงแบบโวกเวกโวยวายที่คนธรรมดาอย่างเราๆไม่ฟังกัน เพราะด้วยภาพในจินตนาการเหล่านี้นั่นเองที่ทำให้เราตัดสินว่าเขาเหล่านั้นกลายเป็นคนที่ดูน่ากลัวไปในที่สุด ดังนั้น รีวิวเชียงใหม่ จึงได้ทำ content นี้ขึ้นมา เพราะอยากให้แฟนๆ ได้รู้จักพังก์ในอีกมุมมองหนึ่งที่เราได้สัมผัสมา ซึ่งเขาเหล่านั้นกลับมีอีกด้านของชีวิตที่เราเองก็คาดไม่ถึง ว่าแล้วเราก็ไปรู้จักเขาเหล่านั้นให้มากขึ้นพร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ
สำหรับ พังก์ร็อก (Punk rock) เป็นดนตรีร็อกประเภทหนึ่ง ที่มีการเคลื่อนไหวและเป็นที่รู้จักในช่วงกลางทศวรรษที่ 70ในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และ ออสเตรเลียเป็นอย่างมาก ซึ่งก็มีหลายเหตุผลที่แนวดนตรีนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น “ อยากจะหลีกหนีสังคมที่ไม่เคยเห็นอกเห็นใจหรือช่วยเหลือเกื้อหนุนและคิดว่าสิ่งที่พวกเขาคิดพูดและแสดงออกนั้น ไร้สาระโดยสิ้นเชิงของชนชั้นกลางหรือชนชั้นกรรมาชีพในสมัยนั้น บวกกับ กระแสต้านวงร็อกแอนด์โรลกำลังมาแรง” ช่วงนั้นจึงมีหลายวงอย่าง The Ramones, Sex Pistols, The Clash เกิดขึ้นอย่างมากและเป็นวงแนวหน้าของดนตรีประเภทนี้ ส่วนกระแสพังก์ในประเทศไทยของเรานั้นเริ่มเป็นที่รู้จักกันในช่วงทศวรรษที่ 90 หรือ ยุค 90 ซึ่งเป็นช่วงที่ดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟดังมากในประเทศไทย อย่างวง Manic Street Preachers และส่วนคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องการแต่งตัวคนแรกๆ ของเมืองไทยก็คือ น้าดอกรัก ที่อยู่ย่านตลาดนัดจตุจักรนั่นเอง
ส่วนในเมืองเชียงใหม่ก็เริ่มมีการตั้งกลุ่มพังก์เมื่อประมาณ 18 ปีก่อน ซึ่งเกิดจากความหลงใหลในความเป็นพังก์ของสามหนุ่มเพื่อนรัก อย่าง อ๊อด, เขี่ยง และซี ที่เกิดหลงเสน่ห์ในตัวพังก์ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การแต่งตัว, การฟังเพลง, การใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่ง การเป็นคนที่มีจุดยืนอย่างชัดเจน นั่นเอง
อ๊อด หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกลุ่ม ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สำหรับจุดเริ่มต้นความเป็นพังก์ในตัวผม เกิดจากความชอบในแฟชั่นทรงผม Mohawk ของน้าใบ้ ชายที่ส่งน้ำแข็งทั่วเมืองเชียงใหม่ แล้วจากความหลงใหลนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นในความเป็นพังก์ในตัวผมอย่างเต็มตัว” หลังจากเล่าถึงที่มาในความชื่นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณอ๊อด ก็ได้เล่าต่อไปอีกว่า “หลังจากนั้นเขาก็ยิ่งจมดิ่งไปกับความลุ่มหลงในตัวของดนตรีพังก์ จนเกิดแรงบันดาลใจมาเป็นร้าน Hang Bar ที่ซึ่งเป็นเหมือนที่รวมตัวของเหล่าพังก์ เพราะทุกครั้งไม่ว่าจะออกไปไหนเขาก็จะมารวมตัวแต่งหน้าทำผมที่นี่ ซึ่งจากวันนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ก็หลายปีผ่านแล้ว ที่ผมไม่ได้แต่งตัวแนวนั้นเพราะด้วยอายุที่มากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นความเป็นพังก์ในตัวผมก็ไม่เคยตาย ” คุณอ๊อดเจ้าของร้านสัก “Ody Lanna Tattoo” ย่านมูลเมือง ซ.7 กล่าวไว้
ส่วน เขี่ยง จุดเริ่มต้นและมุมมองพังก์ของเขาคือ “สำหรับจิตวิญญาณพังก์ในตัวผมนั้นมันเริ่มมาจาก ความชอบในดนตรี และ การแต่งตัวที่เจนจัด บวกกับผมเชื่อว่าทุกคนมีมุมมืดอยู่ในตัว แต่เราเลือกได้ว่าจะแสดงออกทางไหน แต่สำหรับผมดนตรีและการแต่งกายคือการแสดงออกที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน และไม่มีใครสามารถบังคับเราได้ ดังนั้นไม่ว่าผมจะทำอะไร แต่งตัวยังไงก็ไม่มีใครมาจำกัดได้ ซึ่งในส่วนนี้ทางบ้านก็ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น นอกจากนั้นเมื่อเราได้มาเจอกลุ่มคนที่มีความชอบเหมือนกัน จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับเป็นอีกหนึ่งครอบครัวของเรา ในตอนกลางวันคนเหล่านี้ก็จะใช้ชีวิตทำงานของตัวเองไป อย่างผมก็ทำงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ส่งออก ส่วนกลางคืนเราก็ออกมาพบปะพูดคุย ซ้อมดนตรี ทำงานเย็บปักร้อยของเราไป อย่างเสื้อปักหมุดพวกเราก็เย็บกันเอง สำหรับผม “พังก์คือสิ่งที่เป็นชีวิตของผมมากที่สุด” และอยากให้ทุกคนได้ลองมารู้จักเราก่อน และมุมมองของท่านอาจเปลี่ยนไป “
และนอกจากนี้ยังมี “หนุ่ย” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้าน Mohawk Bar ผู้ที่เป็นอีกหนึ่งสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งได้เล่าถึงความเป็นพังก์ในตัวเขาว่า “จุดเริ่มต้นในความชื่นชอบพังก์ของผมเริ่มขึ้นเมื่อราวๆ 8-9 ปีก่อน จากการที่ชื่นชอบในดนตรีแนวนี้ และบวกกับได้ไปร่วมคอนเสิร์ตที่ทางกลุ่มจัดขึ้นทุกปี จึงมีความรู้สึกว่า นี่แหละคือตัวเรา! จึงเริ่มศึกษาและเรียนรู้ความเป็นพังก์มากขึ้น และพอได้มาอยู่ร่วมกันก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนว่าเราเป็นเหมือนพี่น้องบ้านเดียวกันจริงๆ ที่แม้ว่าเขาจะอยู่กลุ่มที่ขอนแก่น ภูเก็ต เราก็คือครอบครัวเดียวกันอยู่ดี และอีกอย่างเราได้ปลดปล่อยตัวเองอย่างเต็มที่ นี่แหล่ะ คือเสน่ห์ของพังก์”
กก ชีวิตในประจำวันเขาคือ คุณครูสอนโรงเรียนอนุบาล แต่สิ่งที่เขาชื่นชอบพังก์ คือ “สำหรับพังก์ในตัวผม มันคือความต้องการที่อยากแสดงออกให้ทุกคนว่าอย่ามองใครที่เปลือกนอก เพราะในชีวิตประจำวันผม คือ คุณครู แต่พังก์ คือ ชีวิตที่ไม่มีเปลือกในเปลือกนอก ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันหมดทุกคน คือ ครอบครัว นี่แหล่ะจึงทำให้ผมอยู่กับมันมากว่า 10 ปี”
และนอกจากนี้สิ่งที่เราได้เรียนรู้ คือ พังก์ไม่มีการแบ่งเพศ ชนชั้น วรรณะ จึงมีหญิงสาวๆหลายคนที่หลงเสน่ห์ความเป็นพังก์ รวมทั้ง บอส และ น้ำหวาน โดย บอส ได้บอกกับเราว่า “ สิ่งที่ทำให้เราหลงใหลในพังก์ คือ การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อเราแต่งทีไรแล้ว ยิ่งทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น ยิ่งบวกกับดนตรีแนวหนักๆที่เราชอบ และมีการออกไปสังสรรค์กันทุกวันเสาร์อาทิตย์ ยิ่งทำให้เราหลงรักมันเข้าไปอีก” ส่วน น้ำหวาน สาวที่มีผมสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ ได้เล่าถึงเหตุผลที่เธอชื่นชอบว่า “ สำหรับตัวหวานเอง ดนตรีคือคำตอบ เพราะหวานชอบฟังแนว Rock มาตั้งแต่อายุ 15 และเมื่อได้มาฟังแนวพังก์มันกลับโดนใจเรามากกว่า บวกกับสไตล์การแต่งตัวที่เป็นตัวเอง แตกต่าง มีจุดยืน มันยิ่งคือตัวเราค่ะ ”
หรือจะเป็นเด็กน้องใหม่ในกลุ่มที่กำลังอยู่ในวัยนักเรียนนักศึกษา อย่าง อาร์ม, ใหม่, ศิริ, และ บิ๊ก เขาเหล่านี้ คือกลุ่มวัยเรียนที่ชอบในพังก์ ซึ่ง อาร์ม หนึ่งในกลุ่มก็ให้เหตุผลว่า “ เพราะ พังก์คือเสรีภาพทั้งทางดนตรีและการแต่งกาย ที่เมื่อเรามาอยู่ในกลุ่มนี้แล้วเรารู้สึกอิสระ จะทำอะไรแต่งตัวแค่ไหนก็ได้ และที่สำคัญอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน เพราะเราคือ ครอบครัวเดียวกัน ”
นี่คือ ส่วนหนึ่งของเสียงสัมภาษณ์ที่เราได้ไปสัมผัสชีวิตจริงของพวกเขาเหล่านี้กัน และถ้าหากใครที่สนใจอยากเข้ากลุ่มหรือไปทำความรู้จักพวกเขาเหล่านี้ก็สามารถไปเจอได้ที่ร้าน Mohawk Bar ย่านหนองหอย อยู่ในซอยของร้านนางนวลเก่า หรือจะไปร่วมงาน Concert ของเขาวันที่ 20 นี้ก็ย่อมได้ ส่วนรายละเอียดสามารถตามได้ตามเฟสบุ๊ค Keaing Punx Por Par หรือ Nuy Punk
และถ้าหากอยากรู้จักพังก์อย่างลึกซึ้ง ก็จะมีงานนิทรรศการ ชื่อ Punk Art Exhibition ในวันที่ 25 ก.ค.- 3 ส.ค. นี้ ที่ศูนย์ศิลปะบ้านตึก ย่านถนนท่าแพ ซึ่งภายในก็จะมีการจัดแสดงภาพถ่าย และวีดีโอพังก์ในเชียงใหม่ตั้งแต่ยุคแรก ใครสนใจก็แวะไปกันได้ และแล้วก็เสร็จสิ้นสำหรับการทำความรู้จักชีวิตของกลุ่มพังก์ เชียงใหม่ ซึ่งทางเราก็คิดว่าคงจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดมุมมองในการรู้จักชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ไม่มากก็น้อย และถ้าหากท่านไหนมีเรื่องราวที่อยากให้เราตีแผ่เรื่องราวชีวิตของเขา ก็อย่าลืมแวะมาเม้นท์มาแชร์ให้เราได้รู้ตามช่องคอมเม้นท์ด้านล่าง หรือ
เราจะได้ตามไปตีแผ่กันอย่างทันท่วงที