จำได้หรือไม่ว่าสมัยที่คุณเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาคุณทำอะไร ? หลายคำตอบอาจจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำงานและหาเงิน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ และทุกคนอาจบอกว่า มีงาน มีเงิน เท่ากับมีความสุข ซึ่งบุคคลที่เราจะสัมภาษณ์ในวันนี้ก็คิดเช่นนั้น แต่ในโลกสังคมทุนนิยมปัจจุบัน ที่เงินมักใช้เรามากกว่าเราจะใช้เงิน การทุ่มเวลาให้กับการทำงานบริษัทอาจไม่ใช่คำตอบของความสุขในชีวิตของชายคนนี้ที่มีชื่อว่า ลิง (พรพระ สุคันธะกุล) เพราะเวลาที่เสียไปและเวลาที่ได้คืนมาอาจไม่สมดุลกัน ปัจจุบันลิงเลือกประกอบธุรกิจเล็กๆในการรับขนย้ายของให้กับที่ต่างๆ ไปค้นพบกันว่ามุมมอง ความคิด และทัศนคติของเขากับสิ่งที่เขาเลือก รวมไปถึงความสุขที่แท้จริงในชีวิตของเขาเป็นอย่างไร
สัมภาษณ์ที่บ้านของลิง บริเวณทางเข้าซอยกองบิน 41 วันที่ 23 กันยายน 2557 เวลา 13.00 น
มาเริ่มทำธุรกิจนี้ได้อย่างไร
ตอนแรกเริ่มจากในมหาวิทยาลัย คือเราจะเป็นคนที่มีรถกระบะไง คนก็จะแบบ ลิง มาช่วยย้ายของให้หน่อย อะไรแบบนี้ คือยังไม่ได้เป็นธุรกิจ ทีนี้พอเรียนจบ ผมก็ไปทำงานบริษัท ทำอยู่พักนึงก็ออก หลังจากนั้นก็มีรุ่นน้องที่รู้จักมาขอให้ไปช่วยย้ายของ เขาจ้างด้วยกาแฟแก้วนึงกับเงินสาม-สี่ร้อยบาท (หัวเราะ) ณ ตอนนั้นมันก็เป็นอีกช่องทางนึงในการหาเงินเหมือนกัน ผมก็เลยมาคิดเริ่มทำ Facebook รับจ้างย้ายของเป็นจริงเป็นจังดู
ทำไมต้องเป็นรับจ้างย้ายของ
คืออย่างที่บอก เราพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างจากตอนเรียนมหาวิทยาลัยเวลาไปช่วยเขาขนย้ายของ ก็พอจะถูไถไปได้ อีกอย่างคือเรายังมีคอนเนคชั่นที่เป็นนักศึกษาอยู่ แล้วเราเคยเห็นพวกที่ประกาศรับขนย้ายของมักจะแปะเป็นโน้ต เป็นสติกเกอร์ไว้ตามเสาไฟฟ้า เราก็คิดว่าเราทำการตลาดได้ดีกว่านั้น
เรารับขนอะไรบ้าง
หลักๆเลยคือ รับขนย้ายของในหอ แต่จริงๆแล้วก็จะมี เคสเล็ก เคสน้อย เช่นไปช่วยขนไม้ทำร้าน อะไรแบบนี้ ยิ่งหลังๆจะมีแบบอื่นๆมาอีก เช่น รถเสีย ขอให้ไปช่วยลาก หรือมอเตอร์ไซค์แหกมา ก็ไปช่วย เหมือนกู้ภัยไปทุกวัน (หัวเราะ)
ได้ยินว่าเคยไปช่วยขนของให้ พี่จ่อย (สเริงรงค์ วงสวรรค์)
ใช่ๆ คือเขาจ้างให้ไปขนยางหรือไปรับยางจากที่นั่น ที่นี่ ขึ้นไปส่งให้ที่โรงงาน เพราะพี่เขาก็ทำ Local Business อยู่ด้วย แล้วก็มีงานเล็กงานน้อยให้ทำบ้าง พี่เขาจะเรียกผมว่า มนุษย์ขนของ (หัวเราะ)
อะไรทำให้ตัดสินใจมาทำธุรกิจส่วนตัวแบบนี้
ด้วยความที่ผมมีรถกระบะ แล้วเคยโดนใช้มาหลายรอบ ทั้งงานฟรี ไม่ฟรี อีกอย่างเรายังพอมีทุนอยู่ บวกกับการที่ออกจากงานบริษัทมา ประสบการณ์เราก็พอมี เราก็รู้ว่าอะไรขนยังไง เราก็มีความพร้อม มีเวลาว่างอยู่แล้ว คือจุดเริ่มต้นมันก็มาจากง่ายๆแบบนี้เลย
ถามนิดนึง ว่าทำไมถึงเลือกออกจากบริษัท
คืองานบริษัทผมทำอยู่พักเดียวก็ออก ไม่บอกว่าบริษัทอะไรนะแต่ทำประกัน ทำเคลมอะไรแบบนี้ ซึ่งเวลาทำงานผมไม่โอเค เพราะมันต้องโกหกลูกค้า อีกอย่างคือมันมีเรื่องการเมืองในบริษัท เราเลยรู้สึกไม่สนุก มาวันแรกก็โดนรับน้องเรื่องการเมืองเลย แล้วก่อนวันที่จะออกผมเคยโพสลง Facebook ด้วย ประมาณว่าทำไมเราต้องเอาตัวไปให้เขาเช่าหมื่นห้า เรามีค่ามากกว่านั้นรึเปล่า? ก็ถามตัวเอง
เล่าถึงสมัยเรียนหน่อย เป็นคนยังไง
ก็เป็นเด็กที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่นะ แบบลงทะเบียนเรียนไว้แต่ไม่ไปเรียนเลยเทอมนึง พอจะสอบก็ไปขอเขาสอบ ติดเที่ยว เกรดก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็สอบผ่านอยู่นะ คือไม่ได้เก่งแต่เป็นคนขยัน ถ้าช่วงใกล้สอบผมจะเป็นคนที่อ่านหนังสือตะลุยเลยนะแบบสามวันรวดงี้ ส่วนกับเพื่อนผมก็จะให้เพื่อนเต็มที่เลย ให้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดูง่ายๆ ใครมาขอให้ไปขนย้ายอะไรเราก็ไป ก็อาจจะเป็นอีกจุดที่ทำให้ผมกลายเป็นคนแบบนี้มั้ง คือ ชอบไปช่วยคนอื่น
ถ้าวันหนึ่งต้องเลือกระหว่าง เงิน กับ ความสุข เราจะเลือกอะไร
จริงๆพูดยากนะ แต่ขอพูดตามตามช่วงอายุแล้วกัน ผมคิดว่าในวัยนี้เราควรทุ่มให้กับเงินก่อน เราทุ่มได้ เราล้มได้ เราเหนื่อยได้ แล้วหลังจากนั้นสักอายุ 30 -35 ไป เราค่อยไปหางานที่มีความสุข ผมคิดว่าในช่วงวัยนี้ ถ้าเราตั้งใจทำงาน เรามีทุน เราสามารถไปต่อยอดกับอะไรที่มีความสุขได้นะในอนาคต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นงานที่เราเลือกควรจะล้อไปกับสิ่งที่เรารักด้วย ผมว่า
แบบนี้ ดัชนีวัดความสุขในตัวคุณคืออะไร
ผมคิดว่าคือเวลานะ ผมมีบุคคลตัวอย่างคนหนึ่ง เขาเป็นพ่อของเพื่อน เขาไม่ได้มีเงินเยอะ คือไม่ถึงกับจนแต่ก็ไม่ได้มีขนาดว่าซื้อรถหรูๆขับ แต่สิ่งที่เขามีคือเวลา แบบว่าเขาคิดอยากจะปลูกเมี่ยง เขาก็ไปค้นในอินเตอร์เน็ตเลยว่าทำยังไง หลังจากนั้นก็ไปซื้อที่ดินแล้วก็ปลูกเลย ซึ่งผมคิดว่านั่นแหละคือดัชนีวัดความสุข คือการที่เรามีเวลาทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ สิ่งที่เราชอบ
แรงบันดาลใจ หรือแรงผลักดันในชีวิตของเราล่ะ
ก็คิดว่าเป็นเวลาและอิสรภาพ ที่เราอยากทำโน่น ทำนี่ แล้วเราได้ทำ เราพร้อมที่จะทำ เรามีทุนที่จะทำ จริงๆทุนหรือเงินที่จะทำก็มีส่วนสำคัญนะเพราะปัจจุบันเราก็อยู่ในโลกทุนนิยม แต่เงินก็ยังไม่ใช่แรงผลักดันอยู่ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็ต้องการเงิน แต่อย่าให้เงินมาเป็นนายเรา เราต้องใช้มัน ไม่ใช่มันมาใช้เรา
วางแผนชีวิตในอนาคตยังไงบ้าง
อนาคตจริงๆแล้วมองยังไม่ไกลเท่าไหร่ ผมมองเป็นขั้น คือเราต้องมีแพลนแล้วซอยมันออกมาทีละนิด ถ้าอย่างในแพลนช่วงนี้คืออยากทำธุรกิจขนย้ายของนี้ไปก่อนสักสองปี แล้วปีหน้าคิดว่าจะจดทะเบียนเป็นเรื่องเป็นราว เพราะปีนี้เรายังไม่ได้จด อีกอย่างคืออยากทำให้ธุรกิจนี้มันอยู่ตัวก่อน มีลูกค้า มีลูกจ้าง แล้วเราก็ไปทำในส่วนบริหารอย่างเดียวให้มัน Run ได้ด้วยตัวเอง แต่เราก็ต้องไปหาลูกค้านะ เพราะลิงคูริเออร์พูดไปมันก็คือตัวเรา
หลังจากนี้ยังมีสิ่งที่อยากจะทำอยู่มั้ย
มีครับ จริงๆก็แพลนไว้ว่าถ้า ธุรกิจนี้อยู่ตัวแล้วก็อยากไปสมัครทุนการบินไทย เพราะมันเป็นอาชีพที่โอเครายได้ดี เราไม่ปฏิเสธตรงนี้แต่ที่สำคัญคือ มันมีเวลาอย่างเดือนนึงเราบินประมาณ 5 ไฟลท์ เราก็มีเวลาที่เหลือมาดูธุรกิจตรงนี้ แล้วยังทำสิ่งที่เราชอบสิ่งอื่นได้อีก
กระบะคู่ใจ ไปไหนไปกัน
ที่สุดในชีวิตของคุณคือ
บ้าน รถ เมีย ลูก ผมอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งมันจะเป็นแบบนั้นได้คือเราต้องมีเวลาให้กัน พูดตรงๆในส่วนตัวผมเองคุณพ่อเปนปลัดก็จะไม่ค่อยมีเวลาให้เลย เราอยู่ด้วยกันก็จริงแต่เวลาที่เรามีให้กันจริงๆมันน้อยมาก ตั้งแต่เกิดมานับได้เลยเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่เกิน 5 ปี เราเลยคิดว่าเหมือนเป็นปมของเราด้วยแหละเลยอยากให้ตัวเองเป็นคนที่มีเวลาให้ครอบครัวในอนาคต เพราะคิดว่ามันเป็นจุดที่ดีที่สุดนะ
อยากให้ฝากถึงคนที่กำลังจบใหม่ในการตัดสินใจเลือกงาน
จริงๆแล้วอยากให้ลองทำบริษัทก่อน แต่อย่าให้บริษัทกลืนเรานะ อย่าให้เราเสพติดการหาเงินด้วยการทำงานให้บริษัท ที่แนะนำแบบนี้เพราะอยากให้ทำบริษัทที่คุณคิดว่าต่อจากนี้คุณจะทำงานต่อยอดจากด้านนั้น เหมือนไปฝึกงานแหละครับ ไปรู้ว่าควรจะบริหารยังไง รู้ระบบบริษัท การวางตัว ไปเอาประสบการณ์การทำงานแล้วค่อยออกมาหาอะไรเล็กๆเป็นของตัวเองทำ เพราะผมเชื่อว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วเศรษฐกิจเขาขับเคลื่อนด้วย SME ไม่ใช่บริษัทใหญ่
สุดท้าย เราได้ขอลิงให้บอกคำคม หรือ ปรัชญาในชีวิตของเขา แต่ลิงบอกกับเราว่า เขาไม่มีคำคมตายตัว เพราะคำคมหรือปรัชญาในชีวิตของเขานั้น เหมือนกับสายน้ำที่ไหลไปตามกาลเวลา และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามช่วงวัย แต่สิ่งที่สำคัญลิงบอกกับเราว่า ทำช่วงวัยของคุณให้ดีที่สุดแล้วกัน !
Facebook: ลิงคูริเออร์เซอร์วิส Ling Courier Service
เบอร์โทรติดต่อ: 083-741-9502
เรื่องราวชีวิตของ Humans of Chiang Mai คนต่อไปจะเป็นใคร ติดตามกันได้ที่นี่ และถ้าหากใครมีบุคคลแห่งแรงบันดาลใจที่อยากแนะนำ ก็อย่าลืมแวะมาเม้นท์มาแชร์ให้เราได้รู้ตามช่องคอมเม้นท์ด้านล่าง หรือ