Bangkok 1st Time ครั้งแรกของสาวเหนือที่บางกอก

โอ้โฮ ! นี่เหร๊อบางกอก เสียงอุทานสูงปรี๊ด พร้อมกิริยาตาโต มันเกิดขึ้นตลอดการเดินทางครั้งนี้ ตั้งแต่วินาทีแรกเมื่อรถที่เรานั่งเคลื่อนเข้าสู่เขตเมืองหลวงฟ้าอมร ไปจนเดินตรอก ขึ้นรถ ลงเรือ ยันนอนหลับ สิ่งที่เคยเห็นจากละครหรือคำบอกเล่าจากอิพี่ข้างบ้านยังไม่เท่ากับการมาเจอด้วยตาตัวเอง เมื่อนกน้อยจากดอยสูงสยายปีกบินสู่แดนกรุงครั้งแรก จะโหด มันส์ ฮา เฉิ่ม เปิ่น โก๊ะ ขนาดไหนกับ “Bangkok 1st Time ครั้งแรกของสาวเหนือที่บางกอก

It’s Better To See Something Once, Than To Hear About It A Thousand Times.” – Asian Proverb


1. Bangkok Bus Line – บินจากรัง มุ่งจากดอย

บนซ้าย – หน้ารถบางกอกบัสไลน์ รถโดยสารที่พาเราเข้าสู่กรุงเทพมหานครในทริปนี้
ขวา – พนักงานขับรถมากประสบการณ์ หายห่วงเรื่องฝีมือการขับรถ
ล่างซ้ายพนักงานบริการบนรถ สุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส และพร้อมให้คำแนะนำเรื่องการเดินทางแก่ผู้โดยสารทุกคน
ขวา – สาวเหนือยุคใหม่ต้องสตรองว์ แม้พนักงานจะเต็มใจให้บริการ แต่ขอยกกระเป๋าเดินทางเองดีกว่า…ง่ายนิดเดียว 

พิกัดศูนย์จำหน่ายตั๋ว :
เชียงใหม่ – สถานีขนส่งอาเขต 3
กรุงเทพฯ – ศูนย์สมบัติทัวร์ วิภาวดี (ซอยวิภาวดี 13 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร), สถานีขนส่งหมอชิต 2 (ถ.กำแพงเพชร เขตจตุจักร)
เส้นทางเดินรถ : กรุงเทพฯเชียงใหม่, กรุงเทพฯแม่จัน, กรุงเทพฯแม่ฟ้าหลวง, กรุงเทพฯเชียงของ, กรุงเทพฯน่าน, กรุงเทพฯสุราษฎร์ธานี
เบอร์โทร : 02-7921488 (กรุงเทพฯ) ,052-000542 (เชียงใหม่)  
Website : www.bangkokbusline.com

หลังจากนั่งจมอยู่กับทะเลข้อมูลบริษัทรถโดยสาร ในที่สุดก็มาตกลงปลงใจกับบริษัทน้องใหม่ที่เปิดตัวมาได้เพียง 1 ปี นาม Bangkok Bus Line แต่ความจริงแตกไลน์มาจากบริษัทสมบัติทัวร์ ที่คนเชียงใหม่เรานิยมใช้บริการมาตั้งแต่รุ่นแม่ยังสาว เพื่อรองรับการบริการนักท่องเที่ยวให้ทั่วถึงและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ภายใต้สโลแกน “ทุกเส้นทาง วางใจเรา แค่การรับจองตั๋วออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ที่แสนจะสะดวก ก็น่าประทับใจเเล้ว แต่สิ่งที่ข้าเจ้าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด คือ การมีจอทีวีทัชสกรีนเป็นของตัวเอง ติดตั้งไว้ทุกที่นั่ง มีทั้งเพลง หนัง รายการทีวี วิทยุและเกม ให้เลือกดู เลือกฟังกันจนลืมเบื่อ แถมยังมีปุ่มกดเรียกพนักงานบริการหรือกดกริ่งหยุดรถไว้ในหน้าจอเดียวกันนี้ด้วย นั่งๆไปชักเริ่มเมื่อย ก็เพียงเอื้อมมือไปกดปุ่มนวดที่ข้างเบาะ เก้าอี้ก็จะเริ่มทำงานประหนึ่งนักนวดมือทอง กดจุดเราตั้งแต่แก้มก้นไปจนถึงกลางหลัง ที่สำคัญเขายังใส่ใจเรื่องความปลอดภัย ด้วยการจ้างพนักงานขับรถไว้ผลัดเปลี่ยนเวรกันถึง 2 คน เพื่อไม่ให้คนขับหักโหมจนเป็นอันตรายในการขับขี่ เรียกว่าเป็นการเดินทาง 10 ชั่วโมงที่นั่งๆนอนๆได้เพลินๆไปจนสุดทาง !

คือดีงามพระรามเก้า ทั้งเปิดหนัง ฟังเพลงด้วยหูฟังส่วนตัว เล่นมือถือจัดหนักก็ไม่ต้องกลัวแบตหมด เพราะมีที่ชาร์จให้

แวะกินข้าวและซื้อของฝากที่ “ครัวกำแพงเพชรจังหวัดกำแพงเพชร อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ มีทั้งข้าวต้ม ขนมจีน ราดหน้า ข้าวผัดและกับข้าวให้ตักได้แบบไม่อั้น ซึ่งที่นี่เป็นร้านของบริษัทเอง ไม่ต้องไปปะปนกับบริษัทอื่น


2. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) – แอ่ววัด ชมวัง อลังการงานศิลป์ 200 ปี

สวยขนาดนี้ มิน่าคนไทยสัมยก่อนถึงเปรียบกรุงเทพเป็นเมืองฟ้า เมืองสวรรค์

พิกัด : ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เวลาเปิด – ปิด : 08.30 – 15.30 น.
เบอร์โทร : 02-2243290
Facebook : วัดพระแก้ว-พระบรมมหาราชวัง

โอ้โฮ! นี่หรือวัดพระแก้วที่ใครๆก็พูดถึงกัน แค่มองจากรั้วปูนสีขาวด้านนอก ก็กว้างใหญ่ซะจนเราเดินหาทางเข้าไม่เจอ ต้องปั้นจิ้มปั้นเจ๋อไปยิ้มสวยๆถามทางเอากับคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้น พอกำลังจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ขบวนรถตุ๊กตุ๊กของนักท่องเที่ยวก็ขับผ่านเป็นขบวนยาวน่าตื่นตาตื่นใจ ยามเช้าของเมืองกรุงช่างคึกคักซะจนเรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าตาม โดยวัดพระแก้วหรือวัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เพื่อประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ถูกอัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ ที่สำคัญคือเป็นวัดในพระบรมมหาราชวังอีกด้วย มาที่นี่ก็เลยได้ชมทั้งวัดทังวังไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ภายในวัดพระแก้วยังมีพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่บางสถานที่เป็นเขตห้ามถ่ายภาพ เราเลยได้แต่เก็บภาพความประทับใจในงานศิลปะที่เป็นวัตถุโบราณ และเครื่องแต่งกายตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไว้ในความทรงจำเท่านั้น หลายๆคนที่เคยมาที่นี่อาจจะรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนที่มาเยือนเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ขอบอกว่าวัดพระแก้วนี่แหละ คือหัวใจของกรุงรัตนโกสินทร์     

บนซ้าย – สถาปัตยกรรมที่งดงามภายในวัดพระแก้ว
ขวา – ภาพจิตรกรรมฝาผนังจากเรื่อง “รามเกียรติ์ที่เป็นเรื่องนี้ มาจากความเชื่อที่ว่าพระมหากษัตริย์คือเทพเจ้าที่จุติมาบนโลกมนุษย์ เหมือนรามเกียรติ์นั่นเอง
ล่างซ้าย – ภาพนครวัดจำลอง ไม่ต้องไปถึงกัมพูชา ก็ชมความงดงามของนครวัดได้
ขวา – ยักษ์ทวารบาล 1 ใน 12 ตนประจำวัดพระแก้ว ตนนี้กายสีขาว ชื่อ “สหัสเดชะ” 

บนซ้าย – เส้นทางนี้เดินทางมีทั้งชมด่วน ชมปกติ และชมนาน เลือกเอาตามใจชอบ
ขวา – นักท่องเที่ยวแทบทั่วโลกรู้จักธรรมเนียมในการไหว้ พอจะเก๊กท่าถ่ายรูปที ก็เลยไหว้ให้รู้ว่ามาถึงเมืองไทยแน่นอน
ล่างซ้าย – มหาดเล็กรักษาพระองค์ ยืนประจำการเพื่อถวายพระเกียรติหน้าพระบรมมหาราชวัง จุดนี้ห้ามผ่าน ดูได้จากนอกรั้วเท่านั้น
ขวา – พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5


บน/ล่างซ้าย – บรรยากาศบริเวณหน้าวัดพระแก้ว เป็นที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมด้วย
บน/ล่างขวา – นอกจากมหาดเล็กรักษาพระองค์แล้ว ก็ยังมีทหารประจำการและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะมาก

มีขบวนรถตุ๊กตุ๊กนำเที่ยวสำหรับคนที่อยากชมรอบเขตพระนครในระยะเวลาสั้นๆ
บรรยากาศที่สวยงามบริเวณสนามหลวง

3. วังหลัง – อิ่มจังฉบับตังค์น้อย

การเดินทางมาวังหลังนั้น เราเดินออกจากวัดพระแก้วมาขึ้นเรือข้ามฟากที่ท่าช้างซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ค่าบริการถูกเหลือเชื่อ แค่คนละ 3 บาท (แอบอยากให้มีเรือวิ่งตามน้ำปิงขึ้นมาบ้างทันที) ซึ่งระหว่างนั่งเรือนั้น เราเดินไปพูดคุยกับลุงคนขับ เลยทราบว่าพื้นเพลุงเป็นคนเวียงป่าเป้า แต่มาทำงานอยู่ที่กรุงเทพนานแล้ว แกเลยเตือนว่าไปวังหลังต้องเอากระเป๋ามาไว้ด้านหน้า เพราะคนล้วงกระเป๋าเยอะ

พิกัด : ถนนวังหลัง เขตบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร

เดินชมความงามของวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังจนเหนื่อยอ่อน คราวนี้ถึงเวลาหาของกินใส่ท้องสักที ถ้าไปนั่งร้านอาหารก็อาจสัมผัสวิถีคนกรุงได้แค่ภายในอาคารสี่เหลี่ยมเท่านั้น งานนี้เราเลยเลือกวังหลังเป็นที่ฝากท้อง ที่ซึ่งเต็มไปด้วยของกินแบบ Street Food ซึ่งก็ไม่น่าผิดหวัง เพราะตลอดทางวังหลังเต็มไปด้วยร้านอาหารเก่าแก่ ร้านอาหารเกิดใหม่และของกินหน้าตาแปลกๆมากมายที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นมื้อที่ต้องเบียดเสียด ปะทะไหล่คนกรุงแบบต้องสตรองว์ได้อีก กว่าจะได้ชิมทีก็ต้องต่อคิวก่อนแทบทุกร้าน นอกจากพวกขนมและอาหารแล้ว ที่นี่ก็ยังมีทั้งเสื้อผ้า ของมือสอง กระเป๋า รองเท้า ฯลฯ ขายอีกด้วย

คนมาเดินเที่ยว จับจ่ายซื้อของ รวมถึงหาอะไรทานเยอะมาก โดยเฉพาะของกินจากร้านเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อหลายๆร้าน อย่างเช่น ขนมปังอบใหม่ ออกจากเตาร้อน จาก ร้านวังหลังเบเกอร์รี่ เป็นต้น ส่วนขนมหาทานยากก็มีมากมาย เช่น ขนมเกสรลำเจียก ขนมโบราณหาทานยากที่หลงเหลือมาจากยุครัชกาลที่ 2 มีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบหลัก หอม อร่อยมาก

ซูชิจาก ร้านอรทัย ร้านขายอาหารญี่ปุ่นสุดฮิตที่คนต้องต่อคิวกันกินย่านวังหลัง รสชาติพอใช้ได้ แต่ที่ขายดีน่าจะเป็นเพราะราคาถูก เพียงคำละ 5 – 10 บาทเท่านั้น ส่วนทาโกะยากิก็มีหลายไส้ให้เลือก ทั้งปลาหมึก กุ้ง แซลมอน และทูน่า เป็นต้น 

ร้านขายรองเท้าจากโซนขายของมือสอง โซนนี้ร้อนมาก เหมือนเดินอยู่ในเตาอบ เข้าไปได้แป้ปเดียวเท่านั้น ก็ต้องรีบเดินออกมาแล้ว พ่อค้าแม่ค้าทรหดสุดๆที่ทนได้

วิวที่เห็นขณะนั่งเรือข้ามฟากจากท่าช้างมาวังหลัง ตั้งแต่โตมายังไม่เคยเห็นการสัญจรทางเรือเยอะขนาดนี้มาก่อน

4. วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) – แหล่งรวมสถาปัตยกรรมล้ำค่า

สัญลักษณ์ที่ทำให้ใครๆเห็นแล้วรู้ว่านี่คือวัดอรุณราชวราราม ก็คือพระปรางที่เห็นในภาพนี้เอง

พิกัด : ถนนวังเดิม แขวงตลาดน้อย เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
เวลาเปิด – ปิด : 08.00 – 18.00 น.
เบอร์โทร : 02-8912185
Website : www.watarun.org
Facebook : วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง)

เห็นความสวยงามของวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ในโปสการ์ดมาก็หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองสักที พอมาที่นี่เราถึงเพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนทั่วโลกถึงชื่นชอบวัดเมืองไทยกันนัก แม้ขณะที่เรามาเยือนจะเป็นช่วงที่กำลังบูรณะ แต่มันก็สวย สวยจนหาคำเปรียบไม่ได้ โดยเฉพาะพระปรางที่ประดับประดาไว้ด้วยกระเบื้องเคลือบแบบโบราณชิ้นเล็กๆหลากสีนั้น เต็มไปด้วยความละเอียด ความประณีตซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะไทย แถมที่นี่ยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวชมบนพระปรางได้ด้วย แต่ขอบอกว่าบันไดสูงชันมาก ขึ้นไปก็หวิวไป ซึ่งสำหรับคนที่ใส่กระโปรงสั้นมาหรือเสื้อแขนกุด เสื้อสายเดี่ยวมา ต้องแวะนุ่งผ้าถุง ห่มผ้าคลุมที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ก่อน ค่าเช่าผืนละ 20 บาท ค่ามัดจำผืนละ 100 บาท พอเที่ยวชมจนอิ่มใจ ก็แวะเอาผ้าไปคืนเจ้าหน้าที่และรับเงินมัดจำคืน ก็เป็นอันเรียบร้อย

ไม่เพียงสามัญชนทั่วไปเท่านั้น แต่พระจากธิเบตเองก็มาเยี่ยมชมความงามของวัดอรุณเช่นกัน

5. ท่ามหาราช – ท่าน้ำแห่งความสุขของคนกรุง

บรรยากาศรอบๆมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก หนุ่มสาวมาเดินตรึม

พิกัด : ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เวลาเปิด – ปิด : 07.00 – 22.00 น.
เบอร์โทร : 02-0241393
Website : www.thamaharaj.com
Facebook : Tha Maharaj

วันนี้ทั้งวันเราอยู่กับน้ำจริงๆ แต่ก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด เพราะแค่ข้ามฝั่งไปมา และชมวิวสวยๆของแม่น้ำสายหลักของไทยเรา ก็ถือว่ากำไรสุดๆแล้ว สำหรับที่ท่ามหาราชนี้เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ริมน้ำที่นำเอากลิ่นอายของวิถีชีวิตของคนกรุงในอดีต ที่สัญจรและตั้งบ้านเรือนกันริมน้ำเป็นหลัก มารวมเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่นอกจากความทันสมัยแล้ว ก็ยังผสมผสานศิลปะ การออกแบบและพื้นที่สีเขียวเข้าไปด้วย ที่สำคัญ คือ เต็มไปด้วยมุมสำหรับถ่ายรูปไว้เช็คอินอย่างเยอะ แม้แต่ในร้านอาหาร หรือคาเฟ่ก็สวยงาม แตกต่าง มีเอกลักษณ์จนเลือกเข้าแทบไม่ถูกเลย 

ของกินเล่น และงานแฮนเมดทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับก็มีมาออกร้าน
จะเดินไปทางไหนก็ถ่ายรูปสวย ยิ่งตอนกลางคืน ก็ยิ่งสวยมากเพราะเปิดไฟประดับด้วย
ท่ามหาราชขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน

6. Favour Cafe’


บรรยากาศภายในร้านที่ตกแต่งสไตล์ลอฟท์ และเจ้ามะลิที่นอนรอต้อนรับลูกค้า อีกมุมหนึ่งก็มีเสื้อผ้าที่เจ้าของร้านออกแบบเองวางขายด้วย

เวลาเปิด – ปิด : 07.00 – 22.00 น.
เบอร์โทร : 099-2564659
Facebook : FAVOUR CAFE’

เราขอแนะนำร้านนี้ ร้านกาแฟหนึ่งเดียวในท่ามหาราชที่ใช้หม้อต้มกาแฟแบบ Moka Pot จากอิตาลี ซึ่งแตกต่างจากเครื่องชงกาแฟสมัยใหม่ โดยจะใส่น้ำร้อนไว้ด้านล่างของหม้อแล้วต้มเดือด จนไปดันหัวกาแฟออกมา ทำให้กาแฟที่ได้มีรสชาติที่เข้มข้นกว่า ถึงแม้จะใช้เวลาถึง 3 นาที/แก้วก็ตาม ซึ่งสเน่ห์ของร้านนี้ไม่ได้อยู่แค่รูปทรงหม้อชงกาแฟที่แปลกตาเท่านั้น แต่รวมถึงการตกแต่งร้านในสไตล์ดิบๆแบบโรงงานย้อนยุค ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน นอกจากนี้ยังมีพนักงานต้อนรับแสนซนเป็น “มะลิ” หมาลาบลาดอร์สีขาวที่ห้อยกระเป๋าใส่ทิป นอนรออยู่อยู่บนโต๊ะกลางร้านเลยทีเดียว ได้ใจคนรักสัตว์ไปเต็มๆ  

มีทั้งเครื่องดื่ม เบเกอร์รี่และเมนูอาหารให้สั่งทาน วันนั้นเราสั่ง Ice Lemon Honey (70 บาท) Berry Mixed (135 บาท) Crispy BBQ Wings (95 บาท) และสปาเก็ตตี้เบค่อนพริกแห้ง (145 บาท)มาลองทาน

7. Asiatique The Riverfront – รวมร้านสุดชิคที่คุณต้องมา

เป็นสถานที่เที่ยวกลางคืนที่สวยจนเดินเพลินเลยล่ะ แต่กว้างมากจนเดินทั้งคืนก็คงไม่ทั่วถึง

พิกัด : ถนนเจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร
เวลาเปิด – ปิด : 17.00 – 24.00 น.
เบอร์โทร : 02-108-4488
Website : www.thaiasiatique.com
Facebook : Asiatique

พอมาเยือนที่นี่ เราถึงคิดได้อีกอย่างว่ากรุงเทพเป็นเมืองแห่งการสร้างสรรค์จริงๆ อย่างที่นี่ก็เนรมิตพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้กลายเป็นเหมือนอาณาจักรแห่งการออกร้าน และพื้นที่ฟื้นฟูสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพัฒนามาจากท่าเรือขนถ่ายสินค้า ตั้งแต่พ.ศ.2450 เป็นต้นมา มีจำนวนร้านค้าและร้านอาหารมากกว่า 1,500 ร้าน นอกจากนี้ก็ยังมีโรงละครคาลิปโซ่ คาบาเร่ และโรงหุ่นละครเล็กโจหลุยส์อีกด้วย เดินไปก็หันซ้ายหันขวาไปมา มีแต่ร้านค้าสวยๆละลานตาไปหมด ทว่าเป้าหมายของเรากลับอยู่ที่แลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งของเอเชียทีค นั่นก็คือโซนสวนสนุก ใครๆก็รู้ว่าเชียงใหม่ไม่มีสวนสนุกดีๆมานานนับทศวรรษแล้ว อยากมันส์หน่อยก็ต้องรองานฤดูหนาวปลายปีเอาทีเดียว งานนี้เราเลยลุยเครื่องเล่นแบบจัดหนักไปถึง 3 อย่างเลยแหละ ปล่อยแก่กันงานนี้

คนแน่นทุกโซน ทั้งโซนร้านอาหาร บาร์เครื่องดื่ม และร้านขายของฝาก ของที่ระลึก

Asiatique Sky ด้วยความสูงจากพื้น 60 เมตร Asiatique Sky จะพาเราไปชมความงดงามของแสงสีเมืองหลวงริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในตู้กระเช้าเล็กๆติดกระจกไฟฟ้า ยิ่งสูงก็ยิ่งแกว่ง ยิ่งสูงก็ยิ่งสั่น ใครที่กลัวความสูงคงต้องหลบไป แต่ใครชอบความเสี่ยงที่แฝงด้วยความโรแมนติก บอกเลยว่าห้ามพลาด เพราะวิวจากบนนั้นงดงามสุดๆ ค่าบริการ (ผู้ใหญ่) 300 บาท/คน แต่คนไทยเขาลดให้เหลือ 250 บาท ส่วนเด็กๆก็ราคา 200 บาท/คน ส่วนใครที่ใจกล้าขั้นกว่า แนะนำให้เลือกนั่ง VIP Gondola ซึ่งมีอยู่เพียงตู้เดียวที่พื้นเป็นกระจก นั่งไปสะพรึงไป ราคา 1,500 – 2,000 บาท นั่งได้ตั้งแต่ 2 – 5 คน

Moon Walk จากฟากฟ้าลงมาแตะพื้นดิน แต่เพราะขามันสั่นเลยยังเดินแบบธรรมดาไม่ได้ ต้องมาเดินหน้าถอยหลังอิงลีลาของศิลปินคนดัง ไมเคิล แจ๊คสัน สักหน่อยกับเครื่องเล่นตัวนี้ อาจไม่ถึงขั้นหวาดเสียวมาก แค่พอใจเต้นเล็กๆเวลาที่เราบังคับให้ไอ้เจ้า Moon Walk กลิ้งไปข้างหลังจนพาเรานอนหงาย ชี้เท้าขึ้นฟ้า ใส่กระโปรงคงต้องระวังโป๊ ค่าเล่น 250 บาท/เครื่อง เล่นได้ 2 คน

Thunder Speed ย้อนความจำไปสู่วัยเยาว์กับมอเตอร์ไซค์จิ๋วที่เคยขับวนอยู่รอบม้าหมุน แต่ที่นี่เพิ่มสปีด เพิ่มเบรกขึ้นมาให้สมจริงมากกว่าเดิม เด็กๆก็เล่นได้ ผู้ใหญ่ก็เล่นเยอะ จะปาดซ้าย ปาดขวา เข้าโค้ง ก็ยังไหว แถมแตรรถไว้ให้ได้ลองสวมวิญญาณแว๊นกวนเมืองบีบรัวๆด้วยเอ้า! แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กๆอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังหน่อย เพราะวันที่เราไปเห็นเด็กรถล้มด้วย อาจจะเพราะยังเล็กเกินจะบังคับรถได้คนเดียว ซึ่งที่นี่เขาก็อนุญาตให้ผู้ปกครองนั่งไปกับเด็กได้ด้วยนะ พนักงานก็กระฉับกระเฉง คอยสอดส่องความปลอดภัยกันดีและมีจำนวนมากพอสมควรเลย


8. ถนนเยาวราช – ที่สุดของกินเด็ด ต้องระเห็จเข้าไปให้ได้

บรรยากาศคึกคักสุดๆ ทั้งรถ ทั้งคน เต็มไปหมด

พิกัด : ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
Facebook : Yaowarat Road

อีกหนึ่งที่ที่เคยได้ยินแต่เสียงร่ำลือว่ามีแต่ของกินอร่อยขั้นเทพซุกซ่อนอยู่หลายร้าน วันนี้เราเลยให้เจ้าถิ่นสายเลือดกวางตุ้งพาทัวร์ “ถนนมังกร” หรือ “ไชน่าทาวน์แห่งกรุงเทพมหานคร” สักหน่อย โดยถนนสายนี้ถูกตัดขึ้นแต่แต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปีพ.ศ. 2434 – 2433 เพื่อให้เป็นถนนสายการค้าที่รุ่งเรืองมาถึงปัจจุบัน มีให้เลือกทานตั้งแต่เหลาข้างทาง ไปจนถึงภัตคาร 5 ดาว อาหารขึ้นชื่อมีทั้งกระเพาะปลา หูฉลาม ฯลฯ แต่ด้วยความที่งบน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัด เราเลยเลือกแวะร้านเด็ดแบบข้างทาง ที่รสชาติและฝีมือเป็นตำนานกัน !


บนซ้าย – เกาลัดคั่วร้อนๆ ตั้งร้านเรียงรายทั้งสองฝั่งถนน
ขวา – น้ำส้มเช้งและน้ำทับทิมคั้นสด เครื่องดื่มยอดฮิตของถนนสายนี้ มีขายไม่ต่ำกว่า 10 ร้าน ราคาขวดละ 40 บาท
ล่างซ้าย – ร้านขายหอยแครงลวก จานละ 100 บาท สำหรับคนที่ชอบหอยโดยเฉพาะ
ขวา – ร้านขายอาหารทะเลมีหลายร้านมาก อย่างในรูป คือ ร้านเล็ก รัตน์ ที่ให้เยอะและราคาถูก คนเลยมาทานเยอะ

นายเล็ก (อ้วน) ก๋วยจั๊บน้ำใส

ขายง่ายๆเป็นรถเข็นข้างทาง แต่คนมาเยอะจนร้านแทบแตก

พิกัด : ปากซอยเยาวราช 11
เวลาเปิด – ปิด : 17.30 – 24.00 น.
เบอร์โทร : 02-2243450, 02-6217837, 081-6116920

จุดสังเกตของร้านนี้หาง่ายมาก เพียงแค่เดินมาปากซอยเยาวราช 11 แล้วมองหาร้านที่มีคนต่อคิวเยอะๆประมาณ 20 คนขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ อย่าพยายามชะเง้อหาป้ายร้านให้เสียเวลา ไม่ใช่ไม่มี แต่คนยืนบังจนหมด จุดเด่นของร้านนี้คือก๋วยจั๊บน้ำใสร้อนๆ ที่เข้มข้นไปด้วยรสชาติพริกไทยดำ เพียงแค่ลองซดช้อนเดียว ก็ร้อนไปถึงหลอดอาหารและลำไส้ ถึงจะเผ็ดร้อนมากขนาดที่คนเป็นหวัดมากินแล้วหายในชั่วข้ามคืน แต่กลับเป็นรสชาติที่กลมกล่อมลงตัว หยุดทานไม่ได้เลย ไม่แม้แต่จะปรุงเพิ่ม เมนูมีให้เลือกแค่ก๋วยจั๊บกับเกาเหลา ธรรมดา 50 บาท พิเศษ 60 บาท รีบกินแล้วต้องรีบลุก อย่ามัวเอื่อยเฉื่อย เพราะคนรอต่อโต๊ะอีกเยอะ !

ป๋วย โบ๊กเกี้ย เยาวราช

โบ๊กเกี๊ย คือ แป้งคล้ายลอดช่องสีขาว แต่หนุบหนับกว่าเยอะ เวลาทานใส่ถั่วแดง พุทราเชื่อม แห้ว เม็ดบัว เป็นต้น พร้อมกับน้ำแข็งใส และน้ำเชื่อม

พิกัด : หน้า บ.เยาวราชทัวร์
เวลาเปิด – ปิด : 18.00 – 24.00 น.
เบอร์โทร : 093-2414965
Facebook : ป๋วย โบ๊กเกี้ย เยาวราช

กินคาวแล้วต้องตามด้วยหวาน แต่มาบุกถิ่นชาวจีนทั้งที จะให้กินขนมหวานไทยๆได้ยังไง อาตี๋ไกด์จำเป็นเลยพาเราไปลิ้มลองร้านของหวานข้างทางอีกหนึ่งร้าน นั่นก็คือ “โบ๊กเกี๊ย” ขนมหวานของชาวจีนไหหลำ ที่เกิดมาสาวเหนืออย่างน้องยังไม่เคยลอง โดยโบ๊กเกี้ยดั้งเดิมนั้นจะมีเครื่องแค่โบ๊กเกี้ย ถั่วแดง และเฉาก๊วยเท่านั้น แต่เพราะเจ้าของร้านเป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่ชอบกินเส้น สูตรของร้านนี้จึงใส่บะหมี่ไข่ลงไปด้วย ซึ่งโบ๊กเกี้ยแบบนี้หาทานได้แค่ 20 ร้านในไทยเท่านั้น (ก็ไม่รู้หรอกว่าที่ไหนบ้าง อาอี้แกเล่ามา) ที่สำคัญคือเส้นบะหมี่ไข่ทานกับน้ำเชื่อมได้เหนียวนุ่ม ไม่คาวเลย แป้งโบ๊กเกี้ยที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็หนุบหนับ เหนียวนุ่มเคี้ยวเพลิน ถ้วยละ 30 บาทเท่านั้น แค่นี้ก็รู้สึกว่าคุ้มแล้วที่ได้มาเยือนเยาวราช


8. ถนนข้าวสาร – วิมานสวรรค์ของหญิงสาว

คนเยอะมหาศาล ส่วนใหญ่มักนิยมเดินกินดื่มกันไปตามถนน

พิกัด : ถนนข้าวสาร แขวงตลาดยอด เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
Facebook : ถนนข้าวสาร

ถนนข้าวสารหรือตรอกข้าวสารที่ในอดีตเป็นแหล่งค้าข้าวที่ใหญ่ที่สุดของบางกอก ปัจจุบันคือสถานที่ท่องราตรีของเหล่าผีเสื้อกลางคืนที่ไม่ยอมหลับใหล และเราก็อยากเห็นเช่นกันว่าข้าวสารที่ใครเขาร่ำลือกันนั้นจะเป็นยังไง ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับซอยลอยเคราะห์ที่บ้านเรา แม้จะกลิ่นอายของความมัวเมาที่คล้ายกัน แต่ที่นี่กลับมีพื้นที่กว้างกว่าหลายเท่าตัว เราสังเกตว่าคนที่มาเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะชาวต่างชาตินั้นมักซื้อเครื่องดื่มและเดินถือไปตามท้องถนนมากกว่า ถูกใจร้านไหนถึงค่อยแวะเข้าไป หรือไม่ก็ยืนเต้นยืนดื่มกันกลางถนนนั้นเอง ยืนม่วนอยู่ดีๆก็มีเพื่อนตาสีน้ำข้าวเข้ามาทักและขอชนแก้ว เอ่อ! ไม่สิถังน้อยมากกว่า โอย! สาวเหนืออย่างน้องเกือบต้องพลาดท่า เพราะสนุกลืมโลกอย่าบอกใคร

บนซ้ายและล่างซ้าย – ชาวต่างชาติเยอะมาก แถมสนุกกันสุดเหวี่ยง ทั้งดื่มทั้งเต้น
ขวา – สัญลักษณ์แห่งการเดินเที่ยวข้าวสาร คือ เหล้าผสมสารพัดสูตร ขายกันเป็นถังน้อยๆ เดินหิ้วกันจนสุดทาง

งานนี้ไม่มีใครอายใครแล้ว ใครอยากทำอะไรก็ทำ และที่พลาดไม่ได้ คือ แมงป่อง จากร้านแมลงทอดรถเข็น มีหลายร้านเลย

 9. Here Hostel – Land mark สร้างเพื่อนใหม่

“Here” แค่มาเยือนที่นี่ ก็เท่ากับถึงบางกอกแล้ว

พิกัด : ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เบอร์โทร : 090-9877438
Website : www.herehostel.com
Facebook : Here Hostel

นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทองที่น้องปองมาสู่ ! แต่ที่นี่ไม่มีหม่อมแม่หรือชายกลางทั้งนั้น มีเพียงเพื่อนนักเดินทางที่อยากพบเจอผู้คนและสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนท่ามกลางวิถีชาวกรุงเดินดินอย่างแท้จริง จากจุดกำเนิดที่กลุ่มหุ้นส่วน คือ คุณเอกสิทธิ์ โกสินทโรบล, คุณอนุวัตร กิ่งตระการ และคุณชลดา ทัพแสง โต๋เต๋มาพบเข้ากับตึกเก่าในย่านชุมชนวัดราชนัดดา จึงมาเป็นโฮสเทลสุดคูลแห่งนี้ ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม ใช้ช้อนจานชามหรือแก้วน้ำเสร็จแล้วต้องล้างคว่ำให้เรียบร้อย แถมสไลเดอร์ปูนขัดมันที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากราวบันไดของวัดให้เป็นทางลงแก้เบื่อ พร้อมพนักงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ยินดีให้คำแนะนำในการเที่ยวบางกอกเหมือนเป็นเพื่อนกัน เกิดมาไม่เคยต้องใช้ชีวิตท่ามกลางชายหนุ่มแปลกหน้าแบบหายใจร่วมกันขนาดนี้ อุตส่าห์นอนเกร็งตลอดคืน ที่ไหนได้พี่ท่านเล่นกลับมาเอา 6 โมงเช้า สงสัยหิ้วปีกกันมาจากข้าวสาร แต่ยังไงก็ตามเพื่อนร่วมห้องทุกคนก็มีมารยาทในการอยู่ร่วมกันอย่างเหลือเชื่อ ไม่ส่งเสียงดังรบกวน ไม่ละลาบละล้วง ไม่หยาบคาย ประทับใจหนูมาก!  

เฟอร์นิเจอร์ล้วนเป็นของโบร่ำโบราณ อารมณ์แบบบ้านๆ แต่กลับมีรสนิยม แถมพักที่นี่ยังมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนชาวต่างชาติ เป็นการแลกเปลี่ยนภาษาอีกด้วย อย่างเช่นผู้หญิงในภาพ เธอชื่อ “เหว่ยเว่ย” สาวน้อยชาวจีนอายุแค่ 21 ปี แต่ก็กล้าบินเดี่ยวมาเที่ยวคนเดียว 

เตียงนอนมีม่านกั้นให้เพื่อความเป็นส่วนตัว พร้อมหลอดไฟและปลั๊กไฟเพียงพอต่อการใช้งานแบบส่วนตัว
บรรยากาศภายในห้องอาบน้ำ เป็นห้องน้ำรวมแยกชาย – หญิง ผนังเป็นอิฐ ฝักบัวสีทองเหลือง ให้อารมณ์หลงยุคดีชะมัด ส่วนโซนอ่างล้างหน้า ก็มีไดร์เป่าผมให้ครบครัน
มีอาหารเช้าไว้พร้อม บริการตัวเองเลย

10. Terminal 21 – ถูกกว่านี้มีอีกไหม

บรรยากาศภายในห้าง มีสัญลักษณ์ของซานฟรานซิสโก คือ สะพาน Golden Gate ด้วย

พิกัด : ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร
เวลาเปิด – ปิด : 10.00 – 22.00 น.
เบอร์โทร : 02-1080888
Website : www.terminal21.co.th
Facebook : TERMINAL 21


ก้าวเท้าออกจากรถไฟฟ้ามา ก็มีทางเชื่อมเข้าห้างรออยู่แล้วกับ Terminal 21 ห้างสรรพสินค้าที่รวบรวมเอาบรรยากาศของเมืองสำคัญๆทั่วทุกมุมโลกมาเป็นธีมตกแต่งของแต่ละชั้น เช่น โรม, ปารีส, ลอนดอน, ซานฟรานซิสโก เป็นต้น สวยตะลึงตะลาน จนสงสัยว่านี่ห้างหรือพิพิธภัณฑ์ แถมเดินยังไงก็เดินไม่ทั่ว พยายามรักษากิริยาให้ไม่ตื่นเต้น แต่ก็หลงทิศจนต้องหันไปถามยามซะงั้น เรียกได้ว่าใหญ่กว่ากาดสวนแก้วบ้านเราหลายเท่าตัว แต่ทีเด็ดเห็นจะอยู่ที่ศูนย์อาหาร Pier 21 ที่เปิดมาเพื่อเอาใจยอดมนุษย์เงินเดือนในยุคข้าวยากหมากแพง ทีแรกขึ้นชื่อว่าอาหารถูก เราก็นึกว่าจะได้ปริมาณน้อยแบบแมวดม หรือไม่งั้นรสชาติคงไม่เป็นอันรับประทาน แต่ที่ไหนได้ พอมาเห็นเข้าจริงๆ ที่นี่กลับมีร้านเด็ดๆที่ดูแล้วเป็นร้านเก่าแก่มากมาย ราคาก็ถูกจริงๆ อย่างสุกี้โบราณ ราคา 33 บาท ส้มตำปู ราคา 32 บาท ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ ราคา 35 บาท ราคานี้อาจไม่แตกต่างจากบ้านเรามาก แต่รสชาติและปริมาณของเขาถือว่าเกินราคา และถูกมากเมื่อเทียบกับอาหารตามสั่งในกรุงเทพ ที่เราเห็นนั้นก็เริ่มต้น 40 – 50 บาทเข้าไปแล้ว

ศูนย์อาหาร Pier 21 นอกจากจะมีอาหารราคาถูกแล้ว ก็ยังสวยงาม สะอาด และอร่อยด้วย
ทั้งหมดนี้รวมราคากันแล้วยังไม่เกิน 200 บาทเลย

11. The Jam Factory – มาอีกทีพี่ขออยู่นานๆ

การเดินทางมาสามารถเข้าทางคลองสานพลาซ่าได้ โดยเดินทะลุตลาดไปเรื่อยๆ งานนี้ไม่มีหลง เพราะพึ่ง Google Map ตลอดทาง

พิกัด : ถนนเจริญนคร แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
เวลาเปิด – ปิด : 11.00 – 20.00 น.
เบอร์โทร : 02-8610950
Facebook : The Jam Factory

เป็นสถานที่สุดท้ายที่เรามาเยือน ก่อนจะโบกมือลาบางกอก หอบผ้าหอบผ่อนปิ๊กบ้านเฮา จากพื้นที่โกดังเก่าแก่ของโรงงานถ่านไฟฉายตรากบ โรงงานทำยา และโรงงานน้ำแข็ง คุณด้วง – ดวงฤทธิ์ บุนนาค ได้สร้างสรรค์ให้กลายเป็นที่ปลีกวิเวกของคนกรุง เพื่อมาหลบมุมอ่านหนังสือ พักผ่อน ชมงานศิลปะหรือทานอาหารริมแม่น้ำอย่างเงียบสงบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน อนาคตและชุมชน” เข้าไว้ด้วยกัน โดยทุกอาคารยังคงโครงสร้างเดิมเอาไว้อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านหนังสือ ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ร้านกาแฟหรือแกลเลอรี่ ที่ยังคงให้บรรยากาศแบบ Loft – Industrial อยู่


12. Candide Books & Li-bra-ry

เห็นคนเยอะแบบนี้ แต่ทุกคนต่างตกอยู่ในโลกส่วนตัว ไม่มีใครส่งเสียงดังเลย

เวลาเปิด – ปิด : 09.00 – 20.00 น.
เบอร์โทร : 02-8610967, 02-8610968
Facebook : Candide Books

ด่านแรกที่รอต้อนรับผู้มาเยือนทุกคนอยู่ ก็คือ ร้านหนังสือกึ่งร้านกาแฟ ที่หนอนหนังสือทั้งหลายต้องร้องกรี๊ด เพราะมีทั้งหนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ประเภทวรรณกรรม การเมือง ทฤษฎีสังคมและปรัชญา แอร์เย็น ไฟสวย บรรยากาศสงบ แถมสามารถสั่งเครื่องดื่มและเบเกอร์รี่มาทานเล่นได้ตลอด จะมีที่ไหนเหมาะกับการอ่านหนังสือมากกว่านี้อีกไหม และเดินไปด้านในสุดของร้าน จะมีมุมขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ที่เต็มไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์มากมายให้ไปซื้อหามาแต่งบ้านได้อีกด้วย


13. The Never Ending Summer &

The Summer House Project

อาคารร้าน The Never Ending ยังคงเก็บรักษาโครงสร้างแบบเดิมไว้

เวลาเปิด – ปิด : 11.00 – 23.00 น.
เบอร์โทร : 02-8610953-4
Facebook : The Never Ending Summer

เป็นร้านอาหารที่แยกเป็น 2 โซน แต่มีผู้บริหารคนเดียวกัน คือ คุณนรี บุณยเกียรติ โดย The Never Ending Summer เป็นโซนอาหารไทยภายในโกดัง ที่มีความกว้างขวางและสูงโปร่ง จัดที่นั่งไว้เป็นสัดส่วน ไม่แออัด ตกแต่งร้านด้วยไม้เลื้อยและภาพศิลปะ มีกลิ่นอายของอดีตและความร่วมสมัยอย่างลงตัว เน้นเมนูอาหารไทยแท้แบบดั้งเดิม ส่วน The Summer House Project คือ โซนริมแม่น้ำ ที่ขายอาหารฝรั่งและเมนูซีฟู้ด โดยมีคุณพล ตัณฑเสถียร มาร่วมทีมด้วย ที่พิเศษกว่านั้น คือ ทั้ง 2 ร้านมีครัวเปิดที่ติดกระจกใส ทำให้ลูกค้ามองเห็นความเคลื่อนไหวภายในห้องครัว ขณะที่เหล่าเชฟและทีมงานกำลังปรุงอาหารได้อย่างชัดเจน ราคาอาจสูงไปหน่อยสำหรับนักศึกษา แต่หากจะมาทานกันเป็นครอบครัว หรือมาเป็นคู่ก็เก๋ใช่เล่น

บรรยากาศริมน้ำของร้าน The Summer House Project มีลมพัดเย็นสบายตลอด

มาบางกอกทั้งที เราก็เลยทำข้อตกลงกันว่า จะต้องใช้บริการการคมนาคมขนส่งแบบคนกรุงให้ครบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริง แบบถึงใจ ถึงอารมณ์เสมือนได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ซึ่งเราก็เก็บแต้มได้เกือบครบล่ะ ขาดแค่รถไฟใต้ดินเท่านั้นที่ยังไม่ได้ลองนั่ง ไว้คราวหน้าคงไม่พลาด แต่ที่แน่ๆ การคมนาคมขนส่งในกรุงเทพ เมื่อเทียบกับเชียงใหม่นั้น บ้านเราคงต้องพัฒนาอีกเยอะ กว่าจะมีทางเลือกที่หลากหลายและราคายุติธรรมเหมือนกรุงเทพ

การเดินทางที่สร้างความงุนงงให้เราตลอดทริป “รถเมล์” มีหลายสายหลายป้ายจนจำไม่ไหว แต่ยังดีที่มีตัวช่วย เพียงโทร 1348 ก็มีเจ้าหน้าที่พร้อมให้ข้อมูลกับเราเรื่องข้อมูลการเดินทางด้วยรถเมล์ครบทุกสายที่มีในกรุงเทพเลยล่ะ


โดนเธอทิ้งไว้กลางทางเมื่อพยายามตามหารถเมล์สาย 8 ที่เขาว่าเร็วกว่า The Fast จนลงรถเมล์ผิดป้าย พอได้ขึ้นแล้ว บอกเลยว่าหัวยุ่งกว่าเดิมอีก

Fast#สาย8

A photo posted by Krisada Wakayabun (@kidnamedgame) on

สาย 8 ที่เรารีบขึ้นมากจนถ่ายรูปไม่ทัน แถมรูปที่ถ่ายบนรถก็ภาพเบลอได้อีก เอารูปจาก IG ไปดูก่อนแล้วกันนะ บอกได้ว่าสมคำร่ำลือ พื้นยังเป็นไม้กระดานอยู่เลย จิกเบาะจนนิ้วชา
พีคสุดคือเรือด่วน พี่พาหนูท่องคลองแสนแสบแบบด่วนจี๋จนน้ำสาดมาโดนหน้า เปียกไปถึงแผ่นหลัง แทบจะเหลือทนแทนเรียมนาทีนี้
ทีแรกก็ยังชิลๆกันอยู่ อุตส่าห์ซ้อมดึงผ้าใบไว้ลงมากันน้ำ(ล่างขวา)ซะดิบดี ที่ไหนได้ ไม่ทันการณ์

ในที่สุดก็ได้ใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ที่เขาร่ำลือกันแล้ว ก่อนอื่นต้องเดินไปแลกเหรียญก่อน เพราะตู้รับแค่เหรียญ 1,5,10 บาทเท่านั้น แล้วก็มากดเลือกสถานีที่จะลงหน้าตู้ขายตั๋ว หยอดเหรียญไปตามราคาค่าบริการก็เรียบร้อย

การเดินทางด้วยรถตุ๊กตุ๊ก ทำเอาสาวเหนือต๊ะต่อนหย่อนใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม เกาะเบาะแทบไม่ทันเพราะลุงบอกว่าจะโชว์ยกล้อ คุยไปคุยมาเลยรู้ว่าเป็นคนเหนือเหมือนกันอีกแล้ว โอ้ยน่อ ~ แทบอยากจะร้องเพลงว่า “คนบ้านเดียวกัน แค่มองตากันก็เข้าใจดี”

การเดินทางที่หวาดเสียวที่สุด เร้าใจที่สุดมาปิดท้ายเอาตอนขากลับ เมื่อเราโบกวินมอเตอร์ไซค์ไปสถานีขนส่งหมอชิต พี่เล่นปาดซ้ายปาดขวา ตัดหน้ารถ ขับย้อนศร วิ่งบนทางเท้า ครบ!

ในที่สุดก็เสร็จสิ้นประสบการณ์พิชิตบางกอกแบบสาวเหนือ ที่สำหรับเราแล้วมันครบรสจริงๆ และสิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น ประสบการณ์ครั้งนี้ เราคงจำไปไม่ลืม! ลาก่อนกรุงเทพมหานคร ฉันดีใจที่ได้รู้จักเธอ

ท่านใดมีสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพเจ๋งๆ แนะนำเข้ามาได้ อย่าลืมแวะมา Comment มาแชร์ให้เจ๋งได้รู้ตามช่องด้านล่างหรือ

  

เจ๋งจะตามไปรีวิวอย่างทันท่วงที

Relate Posts :