วันฝนพรำที่แม่สะเรียง

รถบัสประจำทางจากแม่ฮ่องสอนปลายทางเชียงใหม่ แล่นมาถึงแม่ลาน้อยเวลา 11โมงเศษๆ

ผู้โดยสารชายหญิงหลายสิบคน กุลีกุจอขนสัมภาระขึ้นรถบริเวณประตูด้านคนขับ รถคันนี้ไม่มีกระเป๋ารถเมล์ จ่ายค่าโดยสารกันที่โชเฟอร์ เงินผมขาดไปสิบกว่าบาท โชเฟอร์บอกไม่เป็นไร เก็บเท่าที่มีและถ้าพลาดรถรอบ 11 โมง ผมจะต้องรอรอบต่อไป 5 ทุ่มและเที่ยงคืนและหากไม่มีที่นั่ง ผมก็ยืนได้ เพราะป้ายหน้าผมอีกแค่ 30 กิโลเมตรกว่าๆ ป้าที่นั่งข้างๆ บอก กว่าป้าจะถึงเชียงใหม่ก็เกือบค่ำ

เที่ยวนี้ไม่มีเด็กเล็กร้องงอแง นอกจากคนสูงอายุ หนุ่มสาว นักท่องเที่ยวต่างชาติชาวยุโรปอีกสองคน (ผมได้ยินเขาคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศส)

msh6_pic2
ถนนสาย 108 ทอดยาวไปในป่าลึก

“ด้านหน้ารักเสียงเพลง ด้านหลังรักสงบ” สติ๊กเกอร์ตัวอักษรสีฉูดฉาดใกล้กับกระจกพวงมาลัยคนขับ โชเฟอร์หนุ่มใหญ่มาดโคบาลตาคมเข้ม จมูกโด่งโค้งมนคล้ายปากเหยี่ยวเหมือนชาวอินเดียแดง นิมนต์พระธุดงค์ทั้งสองรูปที่ยืนโบกรถระหว่างทางให้ไปนั่งเบาะด้านหลังสุด หลวงพี่ทั้งสองรูปพยุงสัมภาระทั้งบาตรและกลด เดินแหวกผู้โดยสารไปถึงเบาะหลังอย่างสงบ

เสียงเพลงในรถไม่ดังมากเหมือนรถทัวร์ฉิ่งฉับ  บทเพลงไพเราะแว่วเสียงใสๆ ของหนูนา หนึ่งธิดา “รักไม่ต้องการเวลา” ชวนให้ผมขนลุก ประหนี่งว่าเราเป็นพระเอกหนังรักแนวโรแมนติก ที่เดินทางตามหารักอย่างอ้างว้างเพียงลำพังบนถนนสาย 108 ในฤดูฝนที่โอบล้อมด้วยป่าเขียวขจี….ช่างโรแมนติกเหลือเกิน….ตื่นๆๆ ตลอดเส้นทางผมไม่ได้นั่งหลับสักงีบ เห็นคนขึ้นลงเป็นระยะๆ มีเห็ดถอบใส่ถุงปุ๋ยจำนวน 5 ลิตรฝากไปกับรถส่งถึงคนที่เชียงใหม่ เห็นไหม..ช่วงนี้มีแต่เห็ดถอบ

โชเฟอร์หนุ่มใหญ่อารมณ์ดี เคลื่อนไหวอิริยาบถ ผิวปาก โยกตัวตามเสียงเพลง ตลอดเวลาขณะขับรถ ผมแอบนั่งยิ้มอยู่คนเดียว บนรถหวานเย็น

mhs6_pic3
รถสีส้มคันโตทำหน้าที่รับ-ส่ง ผู้โดยสารอย่างเต็มความสามารถ

รถแล่นมาถึงแม่สะเรียงในอีกไม่ถึงชั่วโมง ผู้โดยสารบางส่วนลงที่นี่และบางส่วนแวะเข้าห้องน้ำ รถจอดพัก 15 นาที ที่ท่ารถผู้คนไม่ค่อยเยอะมาก มีรถสองแถวที่จะไปอำเภอแม่สอดจอดรอผู้โดยสาร เราสามารถเดินทางไปอำเภอสบเมยได้ด้วยรถที่จะไปแม่สอด บรรยากาศดูน่าตื่นตาสำหรับผมเพราะไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง


mhs6_pic5
รถจักรยาน หนึ่งในพาหนะที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำ

เดินวนอยู่ในตัวตลาดสองรอบ มาหารถที่จะไปแม่สามแลบในวันพรุ่งนี้ มาเที่ยวนี้ผมไม่ได้เตรียมเต็นท์และอุปกรณ์เครื่องนอนมาด้วย มีเพียงอุปกรณ์ภ่ายภาพแล้วเสื้อผ้า 2 ชุดเท่านั้น  ผมถามคนแถวนี้ว่าไปขึ้นรถกันที่ไหน พี่ผู้หญิงที่ขายผัก ทาแป้งทานาคาขาวผ่องเป็นหย่อมๆ บอกว่ารถหมดแล้ว ต้องมาขึ้นอีกทีวันพรุ่งนี้หกโมงเช้า  ได้คำตอบแล้วผมจึงเปิด Google Maps หาที่พักในละแวก ไม่ต้องโทรจองล่วงหน้า เดินดุ่มๆ ไปเช็คอินเข้าห้องพัก จัดแจงสัมภาระ อาบน้ำให้สดชื่น ตอนเย็นจะได้ออกไปเดินเล่นในตัวตลาด

mhs6_pic6
เห็ดถอบรองด้วยใบตองให้ผู้คนมาเลือกซื้อ

ตลาดตอนเย็นข้างเทศบาล อยู่ไม่ไกลจากที่พัก แม่ค้าเริ่มเอาของมาตั้งโต๊ะ บางเจ้าวางขายกับพื้น ฝนพรำลงมาเบาๆ แต่แม่ค้าพ่อค้าก็ยังขะมักเขม้นตั้งร้าน ฝนไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการทำมาหากินในบางอาชีพ ที่นี่ก็มีเห็ดถอบขายหลายเจ้า แม่ค้าเอาใบตองตึงปิดกันฝนให้เห็ดถอบ เห็ดถอบกองสุมกันเนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินอย่างน่าเอ็นดู ใช่แล้ว! เห็ดถอบสดจากป่า

mhs6_pic7
ลูกเนียง ของป่าจากฝั่งพม่า

ที่นี่มีตลาดทุกวันแต่ละวันตั้งขายสลับที่ มีของกินหลากหลาย ขนมไทยใหญ่อย่างเป้งม้งและส่วยทะมินก็มี แต่ที่แปลกตาหน่อยก็เป็นของป่าที่อยู่ในพื้นที่ อ่อ มีลูกเนียงด้วย (ผมเข้าใจว่ามาจากภาคใต้) แต่แม่ค้าบอกมาจากฝั่งพม่า(ชายแดนฝั่งไทยก็มี) เรียกว่าบะตื๋นยาง ชื่อที่คนเมืองเรียกกัน ชาวกระเหรี่ยงจะเอามาขาย ผมนึกในใจว่าเป็นไปได้ไหมที่เมล็ดพันธุ์ลูกเนียงถูกนำเข้ามาปลูกทางใต้สุดของพม่าแถบจังหวัดระนองและไล่มาจนถึงแถบนี้? แค่นึกเฉยๆ

msh6_pic8
ขิงโก้หนึ่งในอาหารของชาวมอญและพม่า

นอกจากเห็ดถอบ ลูกเนียงแล้วก็ยังมีขิงโก้ (โก้ แปลว่ายำ) มีขิงดอง มะพร้าวคั่ว ถั่วปากอ้า ลันเตา และงา กลิ่นหอมของมะพร้าวคั่ว มีหน้าตาคล้ายถั่วที่อาบังมาเร่ขาย มีขิงซอยผสม เป็นของกินชาวพม่าและมอญ ที่นี่ยังมีของสดจากป่าหลายอย่าง ทั้งหน่อไม้ ตัวแลน เขียดแลว เอื้องผึ้ง ไม้ตึงและอื่นๆ ตามแต่ฤดู เมล็ดไม้แดงก็เป็นพืชป่า ชาวบ้านไปเก็บเมล็ดที่หล่นจากฝักเอามาคั่วขาย รสชาติ มันๆ กินเพลินคล้ายเม็ดแตงโมและเม็ดมะขาม มีกลิ่นหอมของเนื้อไม้ ราคาค่อนข้างแพง แบ่งใส่ถุงขาย ถุงเล็ก 20 บาท ประมาณหย่อมมือเดียวและถุงใหญ่ 300 บาท

ร้านตี๋เย็นตาโฟ
ร้านตี๋เย็นตาโฟ

แม่สะเรียงมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง ทั้งวัดวาอารามและแหล่งธรรมชาติ การเดินทางในแต่ละจุดควรอาศัยรถหรือหากจะเดินก็ได้ แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย เพราะแต่ละจุดไม่ได้อยู่ใกล้กัน อย่างเช่น พระธาตุสี่จอม ที่มีวัดพระธาตุจอมแจ้ง, วัดพระธาตุจอมทอง, วัดพระธาตุจอมมอญและวัดพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งตั้งอยู่สี่ทิศของอำเภอแม่สะเรียง วันเดียวเที่ยวไม่ทั่วอำเภอแน่นอน

mhs6_pic4
ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผู้คนยังคงจ่ายตลาดกันอย่างคึกคัก

ระหว่างเดินเล่นในตลาด ได้เจอกับพี่ตุ่น แม่ค้าขายสลัดผักในตลาด อดีตทำงานด้านเกษตรที่เชียงใหม่ ก่อนจะกลับมาอยู่บ้านได้ 3 ปี แกเป็นคนแม่สะเรียงโดยกำเนิด แกเล่าข้อมูลคร่าวๆ และยินดีถ้ามีคนนอกมาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของที่นี่ ผมเลยตั้งใจยืนฟังแกเล่าไปพักใหญ่ พี่ตุ่นอยากให้แหล่งท่องเที่ยวที่แม่สะเรียงเติบโตขึ้น ที่นี่ไม่มีมัคคุเทศก์นำเที่ยว มีก็แต่ไกด์นอกพื้นที่ที่มากับคณะทัวร์ คล้ายว่าคนในพื้นที่ไม่ค่อยมีคนสนใจที่จะฟื้นฟูการท่องเที่ยวมากนัก


คนไม่ค่อยอยากมาเที่ยว ไฟฟ้าก็ดับบ่อย คนก็บ่นกันเป็นเรื่องฮาเฮว่าที่แม่สะเรียง “ฝนตก สุนัขฉี่รดเสาไฟฟ้าไฟก็ดับ อะไรทำนองนี้ ” (แกเล่าไปพร้อมหัวเราะไป)

“แม่พี่เป็นคนพม่า พ่อเป็นคนไทย พี่เกิดที่ฝั่งไทย แต่พูดพม่าไม่ได้ กำลังคิดอยากไปเรียนภาษาพม่า” คนพื้นเมืองที่นี่มาจากหลายที่ทั้งไทยใหญ่ , ปกาเกอะยอ,ละว้า, มอญ, พม่าและชาวมุสลิม มีหลายชาติพันธุ์ อาหารการกินที่ชาวบ้านนำมาขายในตลาดสด ส่วนมากก็เป็นของที่หามาจากป่าและตามชายแดน ภูมิประเทศบ้านเราเป็นป่า

mhs6_pic10
หน่อไม้ หนึ่งในพืชผักที่ชาวบ้านนำมาวางขายตามตลาด

ผมสะลึมสะลือลืมตาตื่น ฝนตกตอนตีห้า จัดแจงเก็บของลงกระเป๋ารอให้ฝนหยุด เพื่อเดินไปขึ้นรถที่จะไปบ้านแม่สามแลบ ฝนไม่หยุดเอาง่ายๆ ตกแบบนี้ผมต้องเปลี่ยนแผนเดินทางแล้ว วันนี้วันเสาร์ที่ท่าเทียบเรือบ้านแม่สามแลป อำเภอสบเมย เขามีตลาดการค้าชายแดน แล้วก็เดินเล่น ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน ไปยืนถ่ายรูปกับทหารพราน ชะเง้อมองศูนย์อพยพกระเหรี่ยง KNU ในฝั่งรัฐกระเหรี่ยง แผนทั้งหมดในสมุดบันทึก

ผมเอาปากกามาขีดทับ แผนล่มเพราะฝนพรำและหนาเม็ดขึ้น นั่งรอในที่พักจนเกือบ 9 โมง ฝนก็ไม่หยุด ผมคืนกุญแจห้องแล้วเดินจ้ำๆ ลุยฝนไปท่ารถ แวะกินมื้อเช้าระหว่างทางที่ร้านตี๋โฟ  ร้านก๊วยเตี๋ยว เกาเหลา เย็นตาโฟ ที่เปิดมานานกว่า 30 ปี  บรรยากาศเช้าในเมืองวันนี้ดูเงียบเหงา ป้าที่ร้านบอกว่าเขาไปตลาดนัดใหญ่กันหมด ตลาดนัดใหญ่คือมีของจากทุกที่มาขายรวมทั้งรถขบวนสินค้าคาราวานที่วิ่งขึ้นล่องสลับวัน

mhs6_pic11
เก็บความทรงจำในแม่สะเรียงจนเต็มกระเป๋าก็ถึงเวลาเดินทางต่อ

แม่สะเรียงไปแม่สอด….????
รถที่จะไปตัวอำเภอสบเมยมีรอบ 10:30 น. เป็นรถกระบะสองแถวสีเหลืองไปสิ้นสุดที่อำเภอแม่สอด ตัวอำเภอสบเมยที่จะไปนี้อยู่นอกเส้นทางวงกลมแม่ฮ่องสอน ต้องตัดเข้าถนนสาย 105 เลียบฝั่งชายแดนฝั่งไทยและพม่าผ่านบ้านท่าสองยาง ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะนั่งรถเลยตัวอำเภอสบเมย แต่สถานการณ์ในขณะที่รถวิ่งฝ่าสายฝนตลอดสองข้างทางเป็นป่าและไม่รู้ว่าเราควรไปลงยังจุดไหนของสบเมย จนรถวิ่งออกนอกเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่ต้องคิดมากตัดสินใจนั่งไปลงที่แม่สอด ถึงเวลา 4 โมงเย็นและตีรถกลับขึ้นเชียงใหม่ในคืนนั้นเลย แล้วผมจะกลับไปหาแม่สะเรียงและสบเมยอีกครั้ง

Relate Posts :