เชียงใหม่เรานี้แสนดีหนักหนา ในน้ำมีปลา ในนามีนาขั้นบันได 🙂 นาทีนี้ใครไม่ได้ออกเที่ยวชมความงามอลังการของนาขั้นบันไดในบ้านเรานี่เรียกได้ว่าพลาดโอกาสสุดๆ เลยนะ เพราะมันคือฤดูแรกที่ทุ่งนากำลังสวย ด้วยผืนดินลดหลั่นสุดลูกหูลูกตา แต้มด้วยกล้าน้อยๆ สีเขียว มองแล้วชื่นหัวใจ แม้ว่าทุ่งนาเลื่องชื่อจะอยู่ที่บ้านป่าบงเปียง แต่ด้วยความยากลำบากในการเดินทางทำให้หลายคนถอดใจไปเสียก่อน วันนี้เราเลยจะพาไปเที่ยวนาขั้นบันไดที่สวยงามไม่เป็นสองรองใคร แถมอยู่ไม่ไกล เดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับได้ด้วย นั่นก็คือ “หมู่บ้านแม่กลางหลวง” บนดอยอินทนนท์นี่เอง
บ้านแม่กลางหลวงเป็นหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอที่ยังคงยึดถือวิถีชีวิตดั้งเดิมอยู่ นาขั้นบันไดเป็นภูมิปัญญาในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติบนพื้นที่สูง ข้าวส่วนใหญ่ยังเป็นข้าวดอย เมล็ดสั้นกว่าและอ้วนกว่าข้าวที่เราคุ้นเคยกินกันแต่ให้รสชาติอร่อยประทับใจ ช่วงหน้าฝนชาวบ้านจะเริ่มลงกล้าข้าวและไปเก็บเกี่ยวอีกครั้งในช่วงปลายเดือยตุลาคมหรือต้นพฤศจิกายนโน่นเลย ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นอีกช่วงเวลาที่นาขั้นบันไดจะเปล่งความงามเจิดจ้าเพราะพื้นนาทั้งมวลจะสะท้อนสีเหลืองทองไปทั่วทั้งท้องทุ่งเป็นภาพที่ชวนฝันเหลือเกิน
ใครไปเที่ยวช่วงนี้ แปลงนาก็เริ่มสวยแล้วเพราะกล้าข้าวถูกปักดำแล้วทั้งหมด น้ำถูกขังเต็มทุ่งนา ดูแล้วให้พลังฮึกเฮิมและมีความหวังชีวิตดีจริงๆ ตอนเราเลาะเลียบเที่ยวเล่นริมแปลงนา พบชาวบ้านหลายคนกำลังงมปูนากันอยู่ เจ้าปูพวกนี้จะกัดกินรากต้นข้าวให้ตาย ชาวนาจึงต้องคอยเก็บออกแล้วเอาปูที่ได้ไปทำอาหารกินอีกทอดหนึ่ง เป็นการชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติและปลอดภัยจากสารเคมีสุดๆ เลยนะ…ว่าไหม
อันที่จริงแม่กลางหลวงนี่คือสวรรค์ของคนรักธรรมชาติเลยนะ ไม่ว่ามาเยือนฤดูกาลไหนก็สวยมีเสน่ห์ไปคนละแบบ ช่วงนี้ฝนฉ่ำต้นไม้ครึ้ม เราอยากชวนให้ไปท่องป่าชมความงามของ “น้ำตกผาดอกเสี้ยว” น้ำตกลึกลับที่ซ่อนความงามเอาไว้ในป่าใหญ่ จนกระทั่งภาพยนตร์เรื่อง “รักจัง” ได้มาถ่ายทำที่สถานที่แห่งนี้ ใครๆ ก็เลยรู้จักน้ำตกแห่งนี้และมักจะเรียกกันจนติดปากว่า “น้ำตกรักจัง” ตามชื่อหนังไปเลย
ใครอยากจะเดินป่าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยวให้ติดต่อที่ศูนย์บริการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บ้านแม่กลางหลวงได้ เพื่อให้ไกด์ท้องถิ่นซึ่งก็คือคนในหมู่บ้านช่วยนำทางให้ในราคา 300 บาทต่อกลุ่ม (รวมกันได้ไม่เกิน 10 คน ) การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความเร็วในการเดิน
พอประสานงานเรียบร้อย ไกด์ท้องถิ่นจะพาพวกเรานั่งรถกระบะขึ้นไปส่งยังจุดเริ่มต้นในการเดิน ซึ่งขับขึ้นไปอีกเล็กน้อย อากาศวันนั้นเย็นสบาย หมอกลงต่ำทำให้อากาศชุ่มชื้นแต่ไม่เฉอะแฉะ แถมยังช่วยกรองแสงอันเจิดจ้าจากพระอาทิตย์อีกด้วย ทำให้การเดินป่าตอนบ่ายๆ ของพวกเราเป็นเรื่องที่สุขสดชื่่นลั้นลาอย่างที่สุดเลยเชียว
เส้นทางการเดินป่าไม่ถือว่าโหดมาก เดินเรื่อยๆ สลับเส้นทางสูงชันเป็นช่วงๆ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าสบายๆ อาจเป็นเพราะป่าร่มรื่น ต้นไม้ตลอดสองข้างทางก็สวยแปลกตา ยิ่งได้ความชื้นจากฝนก็ยิ่งทำให้เหล่าพืชพรรณต่างๆ อวดโฉมเปล่งประกายความงามกันยกใหญ่ เช่น ดอกเข้าพรรษาก็โผล่หัวพ้นจากดินมอสตามต้นไม้ใหญ่ก็แผ่ขยายจนเขียวครึ้ม กล้วยไม้ป่าก็แอบบานอยู่เงียบบนคาคบไม้ หากเดินแบบไม่เร่งร้อยเกินไป ตลอดทางจะมีสิ่งสวยงามให้ชื่นชมไปตลอดทาง
เดินมาได้ระยะหนึ่งจนเริ่มรู้สึกจะหมดแรง ก็เริ่มได้ยินเสียงน้ำตกซู่ซาขนาดใหญ่ เสียงดังที่ว่าเป็นพลังให้เราจ้ำฝีเท้าเดินเพื่อไปชมความงามของม่านน้ำข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ได้เห็น บอกเลยว่าต้องอ้าปากค้างเลยจริงๆ เพราะน้ำตกผาดอกเสี้ยวเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่อลังการมาก สวยและคงความบริสุทธิ์เดิมแท้อย่างเต็มเปี่ยม แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เหมือนได้รับพลังไปแล้วเต็มๆ
น้ำตกผาดอกเสี้ยวเป็นวังน้ำตกขนาดใหญ่ ประกอบด้วยน้ำตกหลายชั้นแต่ละชั้นก็อยู่ห่างๆ กันมีความงดงามกันคนละแบบ บางชั้นก็เป็นม่านน้ำขนาดใหญ่กระแทกหิน บางชั้นก็ไหลยาวเป็นธารน้ำในโอบล้อมของผืนป่า ดูแล้วอิ่มใจเหมือนต้องมนต์สะกดจริงๆ
การได้เดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยวทำให้เราได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่า ดอยอินทนนท์ของเรานี้คือแหล่งต้นน้ำชั้นเยี่ยมที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง สามารถพบตาน้ำผุดจากดินได้เป็นระยะๆ และน้ำจากแหล่งนี้นี่ละที่เป็นสายน้ำหล่อเลี้ยงลงไปยังหมู่บ้านแม่กลางหลวงและหมู่บ้านอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างให้ได้มีชีวิตอย่างสุขสบาย (ซึ่งอาจรวมถึงพวกเราชาวพื้นราบด้วย) เดินป่าเข้าไปได้เกินครึ่งทาง จะเริ่มพบเห็นพื้นที่ที่เริ่มมีคนอยู่อาศัย บางส่วนนั้นก็จัดสรรพื้นที่ทำนาขั้นบันได ผืนเล็กบ้างใหญ่บ้างตามแต่พื้นที่อำนวย เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามจนหัวใจแทบหยุดเต้นเลยทีเดียว
เส้นทางการเดินป่าครั้งนี้มีระยะทางประมาณ 4 กม. เป็นการลัดเลาะจากป่าระดับสูง (ป่าทึบ) ลงมายังป่าโปร่งและค่อยๆ เข้าสู่เขตที่ลาดชันต่ำและสุดท้ายที่ปลายทางของเส้นทางก็มาโผล่ที่กลางหมู่บ้านแม่กลางหลวงที่เราจะเริ่มเห็นต้นกาแฟปลูกอยู่ตลอดสองข้างทางทั่วทั้งหมู่บ้าน
ณ จุดนี้แหละที่ความฟินบังเกิด เพราะหลังจากโอดโอยและแข้งขาอ่อนแรงกันมาพักใหญ่ ตรงปลายทางออกเพื่อเข้าหมู่บ้าน จะมีร้านกาแฟเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่หลายร้าน (ในบริเวณบ้านของชาวบ้านนี่ละ) เราสามารถแวะไปนั่งพักเหนื่อยจิบกาแฟกันได้ บางร้านขายเฉพาะกาแฟร้อน บางร้านมีให้เลือกหลากหลายรวมถึงเครื่องดื่มต่างๆ ก็เลือกได้กันตามสะดวก เสน่ห์ของร้านกาแฟในบ้านคือใช้เครื่องบดกาแฟแบบโบราณ ชงดื่มกับแบบวิธีเดิมๆ ให้รสชาติแตกต่างดีไปอีกแบบ
แต่สำหรับพวกเราแล้ว กินอะไรแบบธรรมดามันก็ง่ายไปน่ะสิ อดทนอีกนิด เดินต่อไปอีกหน่อย ตรงทางแยกเข้าที่พักแม่กลางหลวงฮิลล์ ตรงนั้นจะมีเรือนพักขนาดใหญ่อยู่ อาจแวะนั่งชมวิวพาโนรามาของหมู่บ้านหรืออุดหนุนผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือสักหน่อย ก่อนเดินลัดเลาะเข้าไปในปลายหมู่บ้าน ที่นั่นมีร้านกาแฟเล็กๆซ่อนตัวอยู่ นั่นคือ อุ่มเอิบ Coffee ร้านกาแฟเล็กๆปลายนาริมผืนนาขั้นบันได อยู่ริมธารน้ำใส ที่เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลาสามารถให้อาหารปลาได้ด้วย แต่สำหรับเรา เหนื่อยหนักมาแล้วทั้งวัน การได้เอาเท้าจุ่มน้ำ จิบกาแฟสดหอมๆ ทดสายตามองไปยังผืนนาเขียวขจี ชีวิตคงไม่มีอะไรจะดีกว่านี้อีกแล้ว
ยิ่งเย็นย่ำบรรยากาศก็ยิ่งงดงามจนนึกโมโหตัวเองที่น่าจะเก็บเสื้อผ้ามาค้างที่นี่สักคืนให้หนำใจ เพราะที่บ้านแม่กลางหลวงมีห้องพักให้เลือกหลากหลายทั่วทั้งหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นริมลำธาร หรือริมทุ่งนา ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับธรรมชาติกันอย่างเต็มที่ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 1,000 บาท แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของห้องพักและช่วงฤดูกาลที่เข้าพักด้วย
ตะวันคล้อยต่ำแล้ว เราโบกมือลาแม่กลางหลวงอย่างเสียดาย บอกตัวเองไว้ว่าหากผืนนาเหล่านี้กลายเป็นทุ่งรวงทองเมื่อไร เราคงได้กลับมาซึมซับความงดงามของหมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้ง
- บ้านแม่กลางหลวง
- ที่ตั้ง : จากเส้นทาง108 (เชียงใหม่-ฮอด) เลี้ยวขวาขึ้นดอยอินทนนท์ และเลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้านแม่กลางหลวงที่กม.26
- ติดต่อที่พักและเดินป่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว : ศูนย์บริการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
- บ้านแม่กลางหลวง โทร. 089-9520983 (คุณสมศักดิ์)
- แม่กลางหลวงฮิลล์ โทร : 081-02036