5. น้ำในสระนั้น คงดีใจไม่น้อยยามสายฝนเดินทางมาหา
<– นี่คือชื่อตอนอีกแล้ว สระมีไหนกัน สายฝนก็ไม่มีที่คาดเดาไว้ผิดหมดน่ะ (สำหรับท่านที่เพิ่งเคยอ่าน ชื่อตอนเหล่านี้ถูกตั้งเอาไว้ก่อนออกเดินทางด้วยข้อมูลที่มีอยู่ก่อนว่าเมื่อมาถึงจีนแล้วน่าจะเจออะไรบ้าง สุดท้ายก็ไม่ได้เจออย่างที่คาด)
ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน สำหรับวันนี้เรารอเดินทางไปเฟิ่งหวงตอนเกือบบ่ายสอง ช่วงสายเช็คเอาท์ออกจากที่พักเดินเตาะแตะผ่านวงเวียนข้ามสะพานเข้าเมืองและแวะหาอาหาร เสร็จจากอาหารก็ไปแวะร้านกาแฟที่ก็จืดสนิทอีกเช่นเคย มันเป็นอะไรกับกาแฟกันนะทำให้ขมหน่อยไม่ได้เหรอ
เราเดินไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ผ่านซอยเล็กซอยน้อยจะว่าซับซ้อนก็ไม่เชิง ถึงไม่เคยเดินแต่เดาได้ว่ามันน่าจะไปทางไหน แดดร้อนใช้ได้ มาถึงก็นั่งรอรถท่ามกลางคนจีนยิ่งร้อนไปกันใหญ่ จนขึ้นรถมาเจอแอร์นั่นแหล่ะค่อยยังชั่วระยะเวลา 5 ชม. กับเส้นทางบนที่สูงลอดอุโมงค์ สะพานยาวๆ มีฝนตกบ้างบางจุด มีจอดบ้างบางขณะ จนหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงพนักงานประจำรถก็เริ่มคว้าไมค์มาขายของ ซึ่งขายทั้งแพ็คเกจทัวร์ แจกตารางรถ สักพักคว้าถุงหมูอบซอสอะไรสักอย่างมาขายเฉย เดินเอาให้ทุกคนชิมคนล่ะชิ้นสักพักหยิบมาขายเป็นเรื่องเป็นราว เออ ขายดีด้วย…
รถมาถึงเฟิ่งหวงเย็นมากแล้ว งงๆ กันว่าจะไปทางไหนต่อดี รู้แต่ว่าถึงเฟิ่งหวงแล้ว ตามเสาไฟกิ่งข้างถนนจะมีป้ายกลมๆ และเป็นตรารูปนกฟีนิกซ์อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ เดินลงไปตามทางที่คิดว่าจะเข้าเมืองแวะถามอาม่ากับอาอี๊ 2 ท่านจับใจความได้ว่า เดินไปตามทางนี้ละไปขึ้นรถสาย 1 ตรงป้าย เดินกันไปสัก 300 เมตร เจอป้ายรถ แต่ป้ายมีทั้ง 2 ฝั่งเลย ไม่รู้ว่าฝั่งไหนพยายามจะอ่านรายละเอียดก็อ่านไม่ค่อยออกตัดสินใจว่า เดินๆ ไปนี่ล่ะน่าจะถึง เดินไปก็ถามทางไป เค้าก็บอกว่าตรงไปจนสุดเจอแยกให้เลี้ยวซ้ายละตรงไปอีก โอเค ไปกันต่อระยะทางไม่ใช่อุปสรรคมากมายแต่กระเป๋าที่แบกมันหนัก
เราเดินผิดๆ ถูกๆ ถามทางมาเป็นระยะ เรื่อยๆ จนอยู่ดีๆ ก็มาเจอจุดที่เหมือนเป็นลานกว้างๆ มีกำแพงเมืองเก่าๆ มีนกฟีนิกซ์ยักษ์ตั้งอยู่ เดาเอาก็ได้ว่าน่าจะมาถึงแล้ว ตรงนี้น่าจะเป็นบริเวณเมืองเก่าเฟิ่งหวง เราก็เดินงมกันต่อตรงที่เล็งแล้วว่าน่าจะเป็นทางเข้าสู่ใจกลางเมืองเก่า ก็ใช่จริงๆ เดินไปตามตรอกเล็กๆ พยายามเลาะเข้าซอยที่มันเลี้ยวไปทางซ้ายเรื่อยๆ ก็เริ่มเจอร้านรวงและแหล่งชุมชนซึ่งสิ่งก่อสร้างก็แลดูโบราณผสมผสานการซ่อมแซมใหม่บ้าง แต่ร้านที่เห็นส่วนใหญ่คือของกินและมีขนมประเภทหนึ่งที่มีคนมายืนแสดงกระบวนการผลิตอยู่ด้านหน้าร้าน ทุบๆ ตีๆ ถั่วกับน้ำตาลเคี่ยว ร้านอีกประเภทหนึ่งที่เห็นได้ชัดตั้งแต่เดินเข้ามาเจอคือร้านขายเครื่องดนตรีกลองชนิดหนึ่งซึ่งคล้ายกับที่เจอที่จางเจี่ยเจี้ยคือ กลองอัฟริกันหรือกลองเจมเบ้ แต่ที่นี่มีเยอะกว่ามากๆ ทุก 50 เมตรจะเจออีกแล้ว เราก็เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่มีที่พักกันเลย
เดินเข้ามาถึงริมแม่น้ำ ซึ่งตะลึงมากกับความใหญ่โตคือ สองฟากฝั่งมีแต่สิ่งก่อสร้างโบราณเรียงรายแต่มีแสง LED กระจายเต็มไปทั่วเสียงเพลงอึกทึก นึกว่าอยู่นิมมานฯ ผู้คนก็มากมาย อะไรกันวะเนี่ย เดินแทรกตัวเข้าซอยเล็กๆ ก็มาเจอกับตึกแถวที่ทำตัวเป็นห้องพักเรียงรายกันให้เลือกเข้าพัก เราก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนแล้วก็สุ่มๆ เอาที่ราคาไม่สูงไว้เป็นพอเป็นห้องพักที่ระเบียงห้องมองเห็นแม่น้ำ ห้องแอร์แต่ถ้าจะเปิดแอร์เสียตังค์เพิ่มอีก เอาเถอะร้อนมาก ยังไงก็คงต้องเปิด
ขอลงไปเดินสำรวจพื้นที่เมืองเก่าหน่อยซิและหาอาหารการกินละกันดึกมากแล้ว แต่ยังไงก็ขอเบียร์ทิ้งท้ายด้วย เมืองนี้เป็นเหมือนหลายๆ ที่ที่คุ้นตาในบ้านเรา คือเป็นเมืองเก่าที่ถูกเติมแต่งใหม่ให้ดูเก่า แต่สุดท้ายก็ดูใหม่ งงไหม งงสิ ก็งงๆ เหมือนหลายๆ ที่ในไทยนั่นล่ะ ซึ่งโดยส่วนตัวเวลาไปยังเมืองเหล่านี้ก็จะเริ่มต้นด้วยความไม่ชอบแต่ก็เชื่อว่าสักมุมในเมืองแบบนี้ล่ะที่มันจะทำให้เราชอบ
สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยผับบาร์และแสง LED ภายในห้องแถวโบราณ ผู้คนล้นหลามควันบุหรี่ลอยคละคลุ้ง “คอนทราสต์” ช่างคอนทราสต์แบบลงตัวสมเป็นเมืองจีน ฉันมีคำถามในใจอยู่จำนวนหนึ่ง เอาเป็นว่าจะใช้เวลาค่อยๆ หาคำตอบให้ตัวเองแล้วกันนะ
คืนนี้ฝันดีเฟิ่งหวง ยังไม่ได้ยินดีที่รู้จักอะไรนะ
ChaHarmo : คือบุคคลที่ทำอะไรไปเรื่อยไปเตื่อยไม่เป็นชิ้นไม่เป็นอันแต่ก็สุขใจดี
ดำเนินชีวิตไปแล้วแต่สายลมโชคชะตาและบางปรารถนาส่วนตัวจะชักนำ
รักเสียงดนตรี หนังสือ ผู้คน ความแตกต่างและการเดินทาง
ติดตามเรื่องราวต่างๆเพิ่มเติมกันได้ในที่เหล่านี้
ChaHarmo
Chaharmo
ChaHarmo