6. สิ่งที่สำคัญคือ ท่านจะอยู่กับความรู้สึกนั้นได้นานเท่าไหร่กัน
เราเดินสวนทางกับที่เราเดินเล่นเมื่อคืน เดินลงไปทางทิศใต้มองหาจุดที่จะทานมื้อแรกและตั้งใจจะเดินเท้าเที่ยวไปตามจุดสำคัญๆ ที่ปรากฏบนแผนที่ ที่ได้รับมา
เดินงมๆ ไปเลี้ยวนั่นเลี้ยวนี่แล้วพบว่าบริเวณเมืองเก่าเฟิงหวงนี้มีพื้นที่กว้างขวางให้เดินเยอะมากๆ แต่ร้านรวงที่เปิดขายกันอยู่แลดูจะหน้าตาเหมือนกันหมดนั่นคือ ร้านขนมคล้ายถั่วตัด ร้านขายกลองเจมเบ้และร้านอาหาร เดินไปๆ ก็จะเจอร้านแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ทั่วบริเวณ
เราเดินๆ ไปเจอร้านหนึ่งท่าทางไม่แพงหน้าตาอาหารก็น่าสนใจเลยแวะกินกัน ในร้านประดับไปด้วยธงชาติจีน ยืนยันว่าเราอยู่จีนจริงๆ สั่งหมี่น้ำชาม แห้งชาม ของฉันเป็นหมี่น้ำเห็ดหูหนู เกิดมาเพิ่งเคยกินเห็ดหูหนูเยอะสุดรวดเดียวก็วันนี้
ชอบบรรยากาศของเมืองนี้ตรงที่เวลาเปลี่ยนไปในช่วงวัน ก็เหมือนกับบรรยากาศเมืองมันเปลี่ยนตาม เช้าตรู่เป็นอีกแบบกลางวันเป็นอีกแบบตกเย็นก็กลายเป็นอีกอย่าง สีท้องฟ้า แสงแดดยามเย็นกระทบน้ำถูกชะตากับฉันมาก ก่อนที่เมื่อฟ้ามืดสนิท LED ก็จะทำหน้าที่ของมัน
ตกค่ำ เมืองก็คึกคักไปอีกแบบ แลดูคล้ายถนนคนเดิน ด้านหน้าเมืองที่มีนกฟีนิกซ์ยักษ์และมีอาคารเก่าใหญ่ๆ ไฟสีขาวๆ จะมีการฉายหนังให้คนมานั่งชม บ้างก็มารวมตัวกันแอโรบิค ครั้นเริ่มดึกผู้คนบางตาก็จะมีคนเก็บขยะออกมาเดินเก็บเศษขยะ ขวดพลาสติกและอื่นๆ ไปขาย เหมือนดั่งเช่นหลายๆ เมืองทั่วโลก
ยามเช้าที่เฟิ่งหวง หาของกินได้ไม่ยากเลย เดินๆ ไปไม่ถึง 100 ก้าวก็จะมีของให้เลือกกินทั้งของกินเล่นกินจริง ขนมก็มีมากมาย ถ้ายิ่งเป็นคนกินง่ายและรักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นี่ยิ่งสบาย จิ้มๆ ชี้ๆ ไปเถอะ กินได้หมดล่ะ ราคาก็ดูเหมาะสมกับปริมาณดีมื้อนึงก็ตกคนละไม่เกิน 100 บาท
อาหารมันก็คือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตวัฒนธรรมนั่นแหล่ะ สิ่งที่แตกต่างเราย่อมไม่คุ้นเคย จะมาบอกทันทีว่าอันนั้นอันนี้ อร่อยหรือไม่ มันคงไม่ได้ เพราะลิ้นเราลิ้นเค้าไม่เหมือนกัน เบื้องต้นน่าจะถูกปากหรือไม่ถูกปากมากกว่า ใช้ได้กับหลายๆ อย่าง
เครื่องดื่มบางอย่างที่เราเข้าใจว่าเป็นสากลเช่น กาแฟ ที่คิดว่ารสชาติมันน่าจะใกล้เคียงกันทั้งโลกเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่ กาแฟที่จีนรสชาติน่าจะใกล้เคียงกันทั้งประเทศ แต่ไม่ใกล้เคียงกับที่เราเคยดื่มมาเลย ไม่รู้ว่าในร้านแบรนด์ใหญ่ๆ จะเป็นยังไง
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของเมืองเก่าเฟิ่งหวงนี้ก็มีอยู่ร่วมๆ 10 กว่าจุด บางจุดก็ต้องเสียตังค์ แน่นอนว่าเราคงไม่เข้าไป อย่างจุดที่เป็นสวนบนเขาเราก็เดินมาถึงทางเข้า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เข้าไปดีกว่า เดินหาขนมกินน่าจะเหมาะกับวิถีของเธอและฉัน
มีเหมือนศาลเจ้าหรือวัดเก่าๆ กระจายตัวอยู่เรื่อยๆ รอบเมือง
เดินไปเดินมา มาเจออนุเสาวรีย์ วัวกระทิงหรือตัวอะไรสักอย่างตอนแรกก็ไม่แน่ใจ ยืนทำหน้าที่เฝ้าเมืองหรืออะไรของมันก็ไม่รู้ตอนแรกไม่รู้ตัวอะไร แต่ดูจากกล้ามน่าจะเป็นกระทิง แต่ทำไมมันไม่มีเขา มาดูใกล้ๆ คิดว่าเขาน่าจะโดนขโมยไปแล้ว เศร้าใจแทน
ตามตรอกซอกซอยแม้จะเต็มไปด้วยการขายการซื้อข้าวของทั้งหลายอย่างหนักหน่วง แต่บางจุดบางมุมก็มีวิถีชาวบ้านแบบไม่ได้สนใจนักท่องเที่ยวให้เห็นอยู่บ้าง เช่น มีซุ้มหมากรุกจีน ที่เซียนเก่าใหม่มานั่งเล่นนั่งเชียร์กัน นึกถึงชีวิตฉันยามเด็กที่มักพาตัวเองไปยังซุ้มหมากรุกไทยที่ร้านกาแฟในตลาดแถวบ้าน เล่นเองบ้างนั่งดูผู้ใหญ่เค้าเล่นบ้าง เป็นความบันเทิงต้นทุนต่ำสำหรับฉัน พ.ศ. นั้นจริงๆ
ซอกซอยด้านนอกกำแพงทางด้านใต้เฉียงไปทางตะวันตก มีลักษณะแตกต่างจากบริเวณอื่นๆ อยู่พอสมควรเพราะมีร้านรวงที่แปลกตาตั้งอยู่ มีโฮสเทลและเกสต์เฮาส์ที่หน้าตาเก๋ไก๋กว่าในตัวกำแพงเมืองที่ติดกับแม่น้ำ ซึ่งแลดูการตกแต่งประดักประเดิดยังไงไม่รู้คงมุ่งให้คนมาพักเยอะๆ และจุดขายก็คงเป็นระเบียงที่สามารถมองเห็นแม่น้ำได้เพียงเท่านั้น แต่กับที่พักบริเวณนี้ ตกแต่งมีสไตล์กว่ามากแถมยังราคาถูกกว่าซึ่งเราเล็งเห็นแล้วว่าดี เพราะเราก็ไม่ได้ต้องการแม่น้ำขนาดที่ว่าก่อนนอนและตอนตื่นจะต้องเห็นแม่น้ำทันทีขนาดนั้น เลยคิดว่าเดี๋ยวย้ายมานอนแถวนี้ดีกว่า
ละแวกนี้มีร้านขายเครื่องดนตรีจีนอยู่ซึ่งแน่นอน ฉันไม่สนใจไม่ได้แต่จากงบประมาณในกระเป๋าก็คิดว่าไม่น่าจะได้อะไรติดกลับไป ก็ดันไปเห็นขลุ่ยดินเผาโอคาริน่าที่มีหลายขนาด แน่นอนอันเล็กๆ ต้องถูกไปขอลองเป่าๆ ดู สนนราคา 20 กว่าหยวน สบายมากถ้าจะซื้อ แต่ในร้านดันมีเครื่องเป่าอีกเยอะมาก เลยขอเค้าลองเป่าไปเรื่อยสุดท้ายก็มาเสร็จให้กับขลุ่ยน้ำเต้าราคา 300 กว่าหยวน ต่อแล้วต่ออีกมาอยู่ที่ 200 กว่าหยวน เรียบร้อย เจริญพร
เราเดินไปเดินมาในซอยนี้อยู่หลายรอบ เพราะทั้งน่ารักและน่าสนใจให้ความรู้สึกเหมือนเดินถนนคนเดินดี ผ่านหน้าเกสต์เฮาส์นึง เจ้าแมวหน้าตาตลกกลิ้งๆมองๆ มาทางเรา แน่นอนฉันแพ้แมว เราจูงมือกันเข้าไปคุยเสวนากับแมวและเจ้าของมันซึ่งก็คือเจ้าของที่พักนั่นเอง เจ้าแมวชื่อ ถัง ควัน เราคุยกันไปคุยกันมา ถามราคาที่พัก แล้วก็ตอบตกลง จอง พรุ่งนี้จะย้ายมานอนที่นี่นะ ได้ตังค์เราเพราะเจ้าถัง ควัน แท้ๆ เลย
ยามค่ำคืนที่นี่ไม่น่าจะทำให้ใครเหงาได้ สถานบันเทิงหลากหลายจริงๆ ผับ บาร์ ร้านอาหาร ดิสโก้เธค หรือ ร้านเล็กๆ ที่ตอนกลางวันขายกาแฟ กลางคืนขายเบียร์ก็มีเยอะ มีดนตรีอะคูสติกสดๆ ให้ฟัง อารมณ์จะคล้ายๆ ร้านแถวๆ ริมแม่น้ำปิงนี่ล่ะ สนนราคาใกล้เคียงกัน อย่างที่รู้ว่าเบียร์ที่จีนนั้นถูกมาก แต่พอเข้ามาอยู่ในผับ บาร์ ราคาจะเพิ่มขึ้น 10 เท่าเลย ทีเดียว
บรรยากาศร้านจะสบายๆ แต่ดูเป็นทางการ ขอเล่นดนตรีแล้วไม่ได้รับอนุญาต ไม่เป็นไร เพราะก็ไม่ได้ซีเรียส คิดว่าที่เฟิ่งหวงนี่คงจะไม่ได้เล่นดนตรีที่ไหนแล้วล่ะ นั่งๆ นอนๆ เดินๆ ก็น่าจะพอ
แม้ว่าเสียงจะดังอึกทึกคึกโครมอยู่สองฝั่งแม่น้ำ แต่พอเวลาใกล้เที่ยงคืน เสียงเพลงก็จะค่อยๆ เงียบลง หลังเที่ยงคืนครึ่งปุ๊บผับบาร์ 2 ฟากฝั่งกลับเงียบลงอย่างหน้าตาเฉย จะมีก็เสียงคนที่ยังไม่นอนหรือยังเดินเมาอยู่บ้างประปราย ช่างเป็นเมืองที่แปลกจริงๆ
แล้วพอเช้าตรู่อีกวันทุกอย่างก็เริ่มต้นด้วยความสงบของภาพเมืองเก่า เหมือนอย่างกับเมื่อคืนไม่เคยมีแสง LED และเพลงแดนซ์เปิดอยู่