ส่วนที่มาของชื่อ “วัดพระสิงห์” นั้นตามตำนานกล่าวว่า พระพุทธสิหิงค์ ซึ่งเป็นพระสิงห์สกุล ช่างเชียงแสน ศิลปะล้านนา ประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงราย พระเจ้าแสนเมืองมา โปรดให้อัญเชิญมายังเมืองเชียงใหม่โดยล่องมาตามลำน้ำปิง มาเทียบท่าที่วังสิงห์คำ ตอนแรกตั้งพระทัยจะอัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) แต่เมื่อชักลากบุษบกมาถึงวัดลีเชียง ก็มีอันติดขัด ไม่สามารถลากต่อไปได้ พระเจ้าแสนเมืองมาถือเป็นศุภมิตร จึงโปรดให้สร้างมณฑปขึ้นและประดิษฐานพระพุทธสิหิงห์ไว้ ณ วัดลีเชียง ซึ่งต่อมา ชาวบ้านก็พร้อมใจกันเรียกวัดนี้ว่า “วัดพระสิงห์” ตามชื่อของพระพุทธรูป และเมื่อปี พ.ศ. 2483 จึงได้รับการสถาปนายกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นนอก ชนิดวรมหาวิหาร และได้รับนามใหม่ว่า “วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร” มาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี ทางจังหวัดเชียงใหม่ก็จะมีพิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่ เคลื่อนขบวนไปตามถนนสายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาและสรงน้ำพระตามประเพณีของชาวเหนืออีกด้วย
สิ่งที่ทำให้วัดพระสิงห์มีชื่อเสียงและมีความน่าสนใจก็คือ ความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบล้านนาของ หอไตร เป็นครึ่งตึกครึ่งไม้ ผนักตึกด้านนอกประดับด้วยเทพปูนปั้น ที่สร้างโดยช่างสมัยพระเมืองแก้ว ฐานปั้นเป็นลายลูกฟัก ลดบัวภายในประดับด้วยรูปสัตว์หิมพานต์ และประจำยาม ที่มีลักษณะคล้ายสมัยราชวงศ์เหม็งของจีน ซึ่งมีการสร้างเพิ่มขึ้นมาในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ นอกจากนั้นยังมีจิตกรรมฝาผนังในวิหารลายคำ ซึ่งเป็นวิหารลายคำที่พบที่นี่ได้แห่งเดียวเท่านั้น วิหารเป็นทรงพื้นเมืองล้านนาขนาดเล็ก เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสิหิงค์ ที่ผนังวิหารมีการวาดภาพจิตรกรรมโดยรอบ ด้านเหนือเป็นเรื่องสังข์ทอง ส่วนด้านใต้เป็นเรื่องสุวรรณหงส์ ที่พิเศษกว่าที่อื่นอีกอย่างคือภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องสังข์ทอง ก็พบที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ใครได้มาเยี่ยมเยือนเชียงใหม่ ก็อย่าลืมแวะกราบพระพุทธสิหิงค์ และชมความสวยงามของวัดพระสิงห์กันด้วยนะคะ รับรองจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยค่ะ ^^