9 ชั่วโมง 34 ขบวนแห่ กับคนอีกเป็นแสน!
ประโยคนี้น่าจะเหมาะกับการประกวดขบวนแห่กระทงใหญ่งานประเพณีเดือนยี่เป็ง เชียงใหม่ ประจำปี 2555
และก็กลายเป็นว่า นี่คือการตามดูขบวนแห่ที่ยาวนานที่สุดในชีวิตผม
หลังจากคืนแรกไปตามเก็บบรรยากาศทั่วไปในตัวเมือง วันสำคัญของงานคือ วันที่ 29 พฤศจิกายน มีการจัดขบวนแห่กระทงใหญ่จากประตูท่าแพไปยังหน้าเทศบาลเชียงใหม่แถวเจดีย์ขาว ด้วยริ้วขบวนทั้ง 34 ขบวน จากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
ขบวนแห่เริ่มสตาร์ทกันตอน บ่ายสามโมงครึ่ง โดยแต่ล่ะหน่วยงานต่างขนของมาตกแต่งเตรียมของดีไว้โชว์กันเพียบ จนเวลาล่วงเลยกันมาเกือบจะหกโมงเย็น เม็ดฝนจากฟากฟ้าก็โปรยปรายลงมาชั่วคราว เพื่อสร้างความชุ่มชื่น ให้กับขบวนแห่และคนดู
แรกๆผมก็เดินถ่ายรูปขบวนไปเรื่อยๆล่ะครับ บางขบวนก็แต่งเสร็จกันไปแล้ว แต่บางขบวนก็ยังไม่เสร็จกันบ้าง ถ่ายไปถ่ายมาจนไม่มีอะไรจะถ่าย ก็ได้แต่นั่งรอขบวนให้แห่กัน จนเผลองีบหลับไป 10 นาที
10 นาทีที่งีบไปไม่พอจะทำให้อาการง่วงงาวหาวนอนของผมหายสร่าง มารู้สึกตัวหายสร่างอีกทีก็ตอนมีนางนพมาศแต่ละขบวนมาให้ถ่ายรูปนี่แหละครับ ฮ่าๆๆ
แต่ละคนของแต่ละขบวนขนกันมาชนิดที่ว่า จัดเต็ม กันเลยทีเดียว จะมองซ้ายคนนั้นก็ดี มองขวาคนนี้ก็สวย มองขบวนหลังคนโน้นก็น่ารัก ว่าแล้วผมก็ไม่รอช้า สวมวิญญาณตากล้องรัวชัตเตอร์ตรงนั้นทีตรงโน้นทีเป็นว่าเล่น
คิดดูล่ะกันครับว่าถ่ายรูปนางนพมาศจนแบตเตอร์รี่กล้องหมดเลย ฮ่าๆๆ
หลังรอขบวนแห่กันจนเหงือกแห้งมาตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่ง หกโมงเย็นกว่าๆก็ได้เวลาเดินหน้าขบวนแล้วพวก
แต่ล่ะขบวนก็ค่อยๆทยอยเคลื่อนที่แห่กันมาเรื่อยๆตามตูดกันไปอย่างช้าๆ การแสดงของขบวนส่วนใหญ่จะสื่อให้เห็นกันภายใต้แนวคิดเฉลิมพระบารมี และฉลองพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีการตกแต่งประดับดารถขบวนกันอย่างสวยงามบาดใจ
เอาที่โดนๆใจผมและที่จำได้ ผมชอบขบวนแห่ของ ห้างสรรพสินค้า Promenada ที่ผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมล้านนากับความทันสมัยเข้ากันอย่างลงดัวย เรียบๆแต่ดูมีเสน่ห์นุ่มลึก อีกขบวนนึงที่ชอบคือขบวนของสถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่นและชาวญี่ปุ่นในเชียงใหม่ ที่ชอบไม่ใช่เพราะมีสาวญี่ปุ่น แต่ผมชอบเพราะมันมีโดราเอมอนกับโนบิตะตัวขนาดใหญ่บนรถขบวน ชอบตรงที่โดราเอมอนกับโนบิตะมันไม่เกี่ยวอะไรกันกับการลอยกระทง หรือฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี เนี่ยแหละ
งานนี้นอกจากจะรวมบรรดาสาวสวยจากขบวนต่างๆแล้ว ยังเป็นงานรวมญาติตากล้องย่อมๆไปในตัวด้วย เพราะ ระหว่างทางริมถนนแห่ไป ตากล้องมากหน้าหลายตาต่างขนอุปกรณ์กันมาถ่ายรูปกันอย่างเอิกเกริก
ก็แหม พี่แกเล่นสะพายทั้งเป้ข้างหลังและด้านข้าง อีกทั้งกล้องคล้องคออีกสองตัว
ผมเดินเก็บบรรยากาศไปเรื่อย โดยเดินตามขบวนจากประตูท่าแพไปจนถึงเจดีย์ขาว ซึ่งตรงหน้าเทศบาลมีเวทีของแขกเหรื่อผู้มีเกียรติทั้งหลายและเวทีของคณะกรรมการตัดสินขบวนแห่
จากขบวนที่ 1 จนถึงขบวนสุดท้ายคือ ขบวนที่ 34 เวลาล่วงเลยมาถึง เที่ยงคืนตรงพอดี และแล้วก็ได้เวลาตัดสินว่าใครจะได้ถ้วยรางวัลพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปครองในปีนี้
เสียงประกาศรางวัลอันสั่นประสาทจากพิธีกรหนุ่ม บอกให้ท่านผู้ชมรับรู้ว่าตัวเต็งเหลือแค่สองขบวนคือ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนจะบอกว่า “ขบวนที่ชนะเลิศได้แก่ ขบวนที่…..”
“ขบวนที่ 16 มหาวิทยาลัยแม่โจ้คร้าบบบบบบบบบบบบบบ ขอเสียงปรบมือดังๆอีกครั้งให้กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ครับที่คว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่สองติดต่อ”
จากนั้นน้องๆนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก็พร้อมใจกันบูมฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่งเพิ่งคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญประวัติศาสตร์ อย่างเสียงดัง มีพลังอันสูงส่ง โดยกอดคอรอบล้อมกันเป็นวงกลมซ้อนกันหลายๆซ้อน โยกไปซ้ายทีขวาที ก่อนจะร้องกระหน่ำเพลงมหาวิทยาลัยต่ออีกสองสามเพลงเพื่อเป็นการประกาศศักดาฉลองชัยชนะ
อารมณ์ในตอนนั้นเรียกได้ว่ากำลังได้ทีครับ ผมยืนมองพวกเขาฉลองชัยชนะ มองดูพวกเขาบูม แสดงออกมาถึงพลังอันยิ่งใหญ่ ที่มาพร้อมขบวนแห่อันใหญ่ยิ่ง จนรู้สึกขนลุก เลือดลมฉีดพล่าน พลางนึกถึงสมัยตัวเองเรียนมหาวิทยาลัย
ส่วนอีกรางวัลเป็นรางวัลชนะเลิศในกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐและเอกชน แต่เป็นโรงเรียนหรือกลุ่มหนุ่มสาว ลูกเสือชาวบ้าน ขบวนที่ได้คือ เป็นของกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมราชาวดี
พอเสร็จงานทั้งหมดในพิธีก็ได้เวลาที่จะต้องกลับบ้านไปหานอน หัวหนุนหมอนกันได้แล้ว หลังจากผจญภัยมาเกือบ 9 ชั่วโมงในขบวนแห่
และถ้ามีคนมาถามผมว่าเมื่อคืนไป ดูขบวนแห่งานยี่เป็ง เชียงใหม่เป็นยังไงบ้าง
ผมคงได้แต่ตอบไปว่า “ผมจำไม่ค่อยได้ว่าขบวนไหนสวยบ้าง แต่ที่จำได้คือนางนพมาศแทบจะทุกขบวน มีแต่คนสวยๆทั้งนั้นเลย ฮ่าๆๆ”