พอลงจากดอยปุ๊บ ท้องก็เริ่มร้องปั๊บ แหะๆๆ ถึงเวลากินอีกแล้ว ก็กองทัพต้องเดินด้วยท้องหนิเนาะ ว่าแล้ว โชว์เฟอร์ของเรา ก็พาขี่ออกมาจากห้วยฒึงเฒ่า เลี้ยวซ้ายไปทางเส้นแม่ริม ขี่ออกมาเรื่อยๆ ในหัวก็คิดเรื่อยๆ ว่า จะกินอะไรดีหว่า แล้วคุณโชว์เฟอร์ก็หันไปเห็นป้ายร้านก๋วยเตี๋ยวรสเยี่ยมข้างทาง งั้นแวะกินร้านนี้ละกัน ขี้เกียจคิดมากละ เหอะๆๆ
เรากินก๋วยเตี๋ยวคนละถ้วย เอาแค่พออิ่มท้อง เผื่อว่าข้างหน้าจะมีอะไรให้กินอีก อิอิ ( ก็เราไม่ใช่พวกชอบเที่ยวอย่างเดียวนี่นา เรายังชอบกินด้วย 555 ) พอกินเสร็จเราเก๊าะขี่รถไปตามถนนสายแม่ริม โดยมีจุดหมายปลายทางคือ
“ม่อนแจ่ม” แหล่งท่องเที่ยวที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในช่วงนี้ แต่ก่อนจะถึงม่อนแจ่ม เราเริ่มสังเกตุเห็นแผงขายสตรอเบอรี่อยู่ริมทางเป็นระยะๆ และมีสวน
สตรอเบอรี่เล็กๆ ริมทางด้วย เราก็เลยแวะซะหน่อย ^^
เพิ่งได้เห็นต้นสตรอเบอรี่ของจริงก็วันนี้แหละ 555
แวะชมไร่สตรอเบอรี่กันแล้ว เราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ “ม่อนแจ่ม” ตามที่ตั้งใจไ้ว้ และพอไปถึง เราก็เจอกองทัพนักท่องเที่ยว และขบวนรถเก๋ง กระบะ และ รถตู้ เฮ้อ…..เจอรถติดบนดอยอีกแล้ว – -!
กว่าจะไปถึงม่อนแจ่มได้ ก็ใช้เวลาไปพอสมควร เนื่องจากมีรถยนต์ สวนกันในทางแคบๆ ตลอด ทำให้การจราจรเป็นไปด้วยความล่าช้า นี่บนถนนยังขนาดนี้ ไม่อยากนึกเลยว่า บนม่อนแจ่ม จะแออัดขนาดไหน ว่าแล้วก็ตามมาดูกัน
เป็นไปตามคาด ทั้งคน ทั้งรถ และ แผงขายของที่ระลึกมากันเพียบ
แล้วเราก็มาถึงจนได้ กว่าจะขึ้นมาถึงบนนี้ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ^^!
โชว์เฟอร์บอกว่า ตอนมาเมื่อ 2 เดือนก่อน พื้นทางเดินยังเป็นหญ้าเขียวๆ อยู่เลย การที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเยอะๆ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียล่ะนะ ไว้เราค่อยมาใหม่ ช่วงที่ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวละักัน ( เหมือนโรคจิตมั๊ยเนี่ย 555 )
เก็บภาพไป เก็บภาพมา เราก็เริ่มรู้สึกปวดหัวตึบๆ สงสัยจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนมากๆ และดันขึ้นมาให้แดดเผาซะใกล้เลย นี่เรากำลังอยู่บนดอยในฤดูหนาวจริงๆ เหรอเนี่ย รู้สึกไม่เหมือนเลยอะ พอเดินดูนั่น ดูนี่จนทั่วแล้ว และอาการปวดหัวก็ยังไม่หายพร้อมกับอาการเริ่มเมาคน (นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ -“-) พอดีกับคุณผู้ชายชวนไป “ม่อนล่อง” และบอกว่า เป็นหน้าผาสูง ที่มาคราวที่แล้ว ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ยังไม่มีใครรู้จักและไปเที่ยวกัน เราก็เลยตกลงว่า ขอหนีผู้คน ไปหาอากาศบริสุทธิ์ และความเงียบสงบดีกว่า
ทางไปม่อนล่อง ก็คือเส้นทางตรงข้ามกับทางเข้าม่อนแจ่มนั่นเอง คือม่อนแจ่มเลี้ยวซ้าย ส่วนม่อนล่องเลี้ยวขวา ปากทางเข้าในวันนี้ มีแผงขายของที่ระลึกเต็มปากทางเข้าทั้ง 2 ฝั่ง แถมยังมีป้ายหยุดตรวจกั้นไว้ด้วย ตอนแรกก็งง แต่พอเข้าไปใกล้ๆ เลยรู้ว่า เส้นทางนี้เป็นทางชัน เค้าก็เลยใช้เป็นเส้นทางไหลลงของ “โกคาร์ทไม้” ซึ่งเป็นอีกกิจกรรมนึงที่เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ลองเ่ล่นกัน กว่าเราจะขึ้นไปได้ก็ต้องรอให้โกคาร์ทลงมาให้หมดซะก่อน
พอไปถึง สถานที่ที่เราคิดว่าคงจะไม่เจอนักท่องเที่ยวแล้ว กลับมีนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์บ้าง ตั้งแคมป์ทำปิ้ง-ย่าง กันบ้าง ต่างกับเมื่อ 2 เดือนก่อนลิบลับ เราก็ได้แต่งงๆ ว่าเค้ารู้จักที่นี่ได้ไง ทั้งๆ ที่เมื่อ 2 เดือนที่แ้ล้ว ที่นี่ยังไม่มีใครรู้จักและพูดถึงเลย
เราเก็บภาพบรรยากาศที่ม่อนล่องแบบทั้งสนุก ทั้งปวดหัว คุณผู้ชายพอเห็นอาการเราแล้ว ก็เลยถามว่า ไม่ไปต่อแล้วมั๊ย กลับไปพักผ่อนดีกว่า แต่เรายังอยากเที่ยวต่อนี่นา นานๆ จะได้มาเที่ยวทั้งทีอ่ะ T^T ก็เลยทำใจสู้ แล้วบอกว่า “ยังไปต่อไหวจ้า ^^v” โชว์เฟอร์ก็เลยบอกว่า “งั้นเราไปเที่ยวไร่สตรอเบอรี่ที่สะเมิงกัน”
มาถึงตอนนี้ เป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมง เราขี่รถออกจากม่อนแจ่ม แล้วเลี้ยวไปตามทางสายแม่ริม – สะเมิง ระหว่างทาง ก็จะมีป้ายเชิญชวนให้เข้าไปชมไร่สตรอเบอรี่ ไร่นั้น ไร่นี้ อยู่ตลอด 2 ข้างทาง และก็มีแผงขายสตรอเบอรี่และสวนสตรอเบอรี่เล็กๆให้นักท่องเที่ยวได้แวะชม แวะชิม และซื้อสตรอเบอรี่กลับไปเป็นของฝากได้อย่างสะดวก สบาย แต่จุดมุ่งหมายของเราไม่ได้อยู่ที่สวนเล็กๆ แบบนี้ เราก็เลยขี่ผ่านไป โดยที่ท้องเริ่มหิว ( ก็เมื่อกี๊ใช้พลังงานในการถ่ายรูปตากแดดไปมากนี่นา ^^!) เราก็เลยมีความเห็นตรงกันว่า ควรแวะหาอะไรกินเพื่อเติมพลังให้กับการเดินทางช่วงต่อไป สรุปได้แบบนั้น เราก็เลยมองหาร้านอาหารที่จะฝากท้องด้วยและก็เจอกับร้านนี้ ^^
ร้านนี้มีเมนูให้เลิอกหลากหลาย ทั้งอาหารตามสั่ง ลาบประเภทต่างๆ และอาหารจำพวกปิ้งย่าง แล้วเราก็เลือกเมนูมาได้ตามนี้
เครื่องดื่่มแก้กระหาย และเมนูโปรดของผู้เขียนกับโชว์เฟอร์
อิ่มแล้ว เราก็พร้อมเดินทางต่อ การเดินทางต่อจากนี้เราไม่ได้วางแผนแน่นอนว่าจะไปที่ไหน กะว่าไปหาทางไปเอาข้างหน้า (อีกแล้ว) ก็เลยขี่ไปเรื่อยๆ พอถึงป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของ อ.สะเมิง เราก็เลือกไปที่อุทยานแห่งชาติขุนขาน ต.แม่สาบ อ.สะเมิง
ภายในอุทยาน ก็เป็นลำธาร และ บ่อน้ำพุร้อนเล็กๆ
พอมาถึงที่นี่ เราก็พบว่า มีแค่เรา 2 คนเท่านั้น ที่เข้ามาเที่ยวในอุทยานแห่งนี้ เพราะที่นี่น่าจะเหมาะกับการท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อนมากกว่า เราก็เลยได้มาเที่ยวในที่ที่ปลอดผู้คนสมใจอยาก 555 ก็เลยขอนั่งพักดื่มด่ำกับเสียงของธรรมชาติจริงๆ ซักหน่อย และพอเจอกับอากาศเย็นสบายและสถานที่ที่ไม่พลุกพล่านเหมือนที่เจอมาก่อนหน้านี้ อาการปวดหัวก็เริ่มหายไป ค่อยสบายตัวขึ้นหน่อย อิอิ พอได้นั่งพักชาร์ตพลังงานเต็มที่แล้ว เราก็ออกจากอุทยานแห่งชาติขุนขาน เพื่อที่จะ ไปต่อ โดยเราได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ของอุทยานว่า แถวนี้มีสถานที่ท่องเทียวที่ไหนน่าไปบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่า ส่วนมาก นักท่องเที่ยวมักจะไปเที่ยวชมไร่สตรอเบอรี่ ที่เลยอุทยานแห่งนี้ไปอีกประมาณ 7 กม. เราคิดว่า ไหนๆ ก็มาถึงสะเมิง แหล่งสตรอเบอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว ก็ต้องไปเยือนแหล่งปลูกสตรอเบอรี่ให้ถึงที่ ก็เลยขี่รถไปตามทางที่เจ้าหน้าที่บอก และเลือกแวะไร่สตรอเบอรี่ชื่อว่า “ไร่ม่อนกู่” และได้พบกับพี่สาวใจดี ที่แถมสตรอเบอรี่ให้เราอีกครึ่งกิโล อิอิ
พอจ่ายเงินเรียบร้อย เราก็เก็บสตรอเบอรี่ยัดใส่เป้อย่างระมัดระวัง และขึ้นรถโดยมีสตรอเบอรี่กิโลกว่าๆ อยู่ข้างหลัง เราขี่รถกลับมาจนถึงแยกสะเมิง ก็รู้สึกเมื่อยๆ เลยขอแวะพักก้น และหาน้ำกินซักหน่อย แล้วเราก็ได้เจอกับสตรอเบอรี่ลูกใหญ่ สด น่ากิน ที่มีป้ายติดไว้ว่า กิโลละ 80 บาท เอาล่ะสิ เมื่อกี๊ไปซื้อถึงไร่ นึกว่าจะถูก กก.ละ 160 มาเจอสตรอเบอรี่ข้างทางถูกกว่าได้ไงเนี่ย คุยกันไป คุยกันมา เพื่อให้หายคาใจ คุณผู้ชายเลยควักตังค์ให้ไปซื้อมาอีก 1 กิโล จะได้รู้ว่า สตรอเบอรี่จากไร่ โลละ 160 กับสตรอเบอรี่ข้างทางโลละ 80 มันต่างกันยังไง หรือว่าเราถูกหลอกซะแล้ว – -!
สรุปแล้ว ตอนนี้เราต้องแบกสตรอเบอรี่ 2 โลกว่าๆ กลับบ้าน ด้วยความทะนุถนอม เพราะกลัวมันจะช้ำ หรือร่วงลงข้างทาง พอกลับถึงบ้านในช่วงเวลาประมาณเกือบ 1 ทุ่ม เราก็เอาสตรอเบอรี่จาก 2 แหล่ง มาเทียบกันว่า มันต่างกันยังไง ก็ได้ข้อสรุปว่า สตรอเบอรี่ที่ซื้อจากไร่ มีคุณภาพดีกว่า รูปทรงเป็นรูปหัวใจสวยงาม ทั้งลูกใหญ่ และลูกเล็ก ไม่มีผลเน่า แถมมีรสชาดที่หวานอร่อย และสดมากๆ ส่วนสตรอเบอรี่ที่เราแวะซื้อข้างทางนั้น ผลใหญ่ก็จริง แต่รูปร่างบิดเบี้ยว มีทั้งที่สด และที่เละๆ ทำให้ไม่น่ากิน ส่วนรสชาดก็ออกจะเปรี้ยวๆ ฝาดๆ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ เราก็เลยโล่งใจที่ว่า ไม่ได้ถูกชาวไร่หลอกเอา 555
การเดินทางในครั้งนี้ เราถือว่าเป็นการใช้เวลาเดินทางได้คุ้มสุดคุ้ม เพราะเวลาแค่ 1 วัน เราสามารถไปเที่ยวได้ถึง 3 สถานที่ เริ่มตั้งแต่ขี่รถขึ้นไปที่ขุนช่างเคี่ยน อ.เมือง มาออกที่ห้วยฒึงเฒ่า แล้วขี่ต่อไปเที่ยวม่อนแจ่ม อ.แม่ริม จบด้วยการชมไร่สตรอเบอรี่ที่ อ.สะเมิง (ซึ่งคงไม่มีใครทำ ^^!) แล้วก็ใช้เวลาในแต่ละที่ได้อย่างคุ้มค่า หากใครมีโอกาส ก็ลองหาเวลาไปเที่ยวในที่ต่างๆ แบบนี้บ้างนะคะ และถ้าไปแล้ว ก็ลองมาเขียนเล่าประสบการณ์ให้ชาว Chiangmaithaitravel ได้อ่านกันบ้าง เพื่อเป็นการแบ่งปันความสุขของการได้ไปเที่ยวให้คนอื่นๆ ด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ ก็ขอขอบคุณโชว์เฟอร์ผู้น่ารักที่พาเราไปพบประสบการณ์ดีๆ และผู้อ่านที่ติดตามอ่านเรื่องราวท่องเที่ยวแบบ “ไปเรื่อย” ของเราทุกๆ คนนะคะ ทริปหน้าก็อย่าลืมมาติดตามกันต่อนะคะ จุ๊บๆ ^^