สิ้นปีเหมือนสิ้นใจจะไปเที่ยวไหนต้องหันไปถามเงินในกระเป๋าก่อน นั่งเหงาๆ ไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมาก็เจอกับกิจกรรมหนึ่งที่รับอาสาสมัครไปเที่ยวกันแบบฟรีๆ จัดโดยสถาบันท่องเที่ยวโดยชุมชน (cbt) “ทดลองท่องเที่ยวชุมชนอนุรักษ์ฟ้ามุ่ย บ้านปงไคร้” 2 วัน 1 คืน หยุดเสาร์อาทิตย์ซะด้วย รีบสมัครด่วนๆ เพราะเขารับแค่ 10 คน แล้วเราก็เป็นหนึ่งในสิบคนนั้นที่ได้ไป ชื่อหมู่บ้านก็ไม่เคยได้ยิน ทดลองท่องเที่ยวเป็นยังไงไม่รู้ ลองไปเที่ยวแบบงงๆ ดูบ้าง อาจได้อะไรกลับมามากกว่าที่คิด..
เราออกเดินทางกันแต่เช้ากับนักท่องเที่ยวอาสาอีก 9 คน ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง หมู่บ้านอยู่เลยทางเข้าม่อนแจ่มไปนิดเดียวทางไปไม่ลำบากเท่าไหร่ หลับได้สบายมาก
พอมาถึงหมู่บ้าน เราก็ได้พบกับชาวบ้านที่มายืนต้อนรับมีน้ำตะไคร้ให้กินพอชุ่มคอ หวานดี ซดไปหลายแก้ว เราเลยได้รู้จักกับหมู่บ้านปงไคร้ ที่ตั้งอยู่ใน ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขา แหล่งกำเนิดกล้วยไม้หายาก “ฟ้ามุ่ย”
แวะไหว้พระธาตุศรีชลกรเพื่อเป็นศิริมงคลกันก่อน ลุงเบิ้มเล่าว่าแต่ก่อนหมู่บ้านเป็นไร่เลื่อนลอย จากนั้นจึงค่อยๆ ช่วยกันพัฒนาจนได้ป่ากลับมา พอคนของทางสวนพฤกษศาสตร์ขึ้นมาสำรวจหมู่บ้านก็พบว่าเป็นที่เดียวที่เป็นแหล่งกำเนิดของกล้วยไม้หายากที่ชื่อว่า “ฟ้ามุ่ย”
ชาวบ้านก็พาเราไปเดินชมหมู่บ้าน เห็นดอยนั่นไหม อีกฝั่งหนึ่งคือม่อนแจ่มไง ลุงเบิ้มหัวเรือใหญ่ของที่นี่บอกว่าคนชอบเข้าใจผิดว่าคนในหมู่บ้านปงไคร้เป็นชาวเขา ลุงเลยขอแก้ข่าว “คนที่นี่ถึงจะอยู่บนดอยแต่เป็นเมียงเน้อ”
บ้านหลังแรกที่ไปคือบ้านใครซักคนนี่แหละ ปลูกมะเขือเทศปลอดสาร ลูกใหญ่มาก
แม่ๆ ที่นี่ใจดีมาก เด็ดมะเขือเทศสดๆ จากต้นมาให้กิน แม่แกบอกว่าลูกเล็กอร่อยกว่าลูกใหญ่ พอลองกินดู เราคิดว่าอร่อยทุกลูกนะ ไปๆ แม่ชวนไปบ้านอื่นต่อก่อนมะเขือเทศจะหมดสวน 555
หมู่บ้านกำลังพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพราะนอกจากกล้วยไม้ฟ้ามุ่ยแล้ว ที่นี่ยังมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์อีกด้วย
โฮมสเตย์ของที่นี่มี 4 ที่ บ้านไร่กลางดง บ้านสวนกลางดอย ม่อนดอยปงไคร้แล้วก็บ้านปงไคร้บ้านดอย วันนี้เรานอนกันที่บ้านสวนกลางดอย
มาถึงกิจกรรมแรกที่เราทำกันคือประดิษฐ์ดอกกล้วยไม้ฟ้ามุ่ย แม่ๆ บอกว่าฟ้ามุ่ยจะออกดอกเดือนสิงหาคมของทุกปีแล้วอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน ช่วงที่ดอกไม่บาน นักท่องเที่ยวจะได้ประดิษฐ์ดอกฟ้ามุ่ยแทน แม่บอกของจริงสวยกว่านี้เยอะ ถ้าอยากเห็นต้องมาเที่ยวอีกนะ
สวยไหม เราทำเอง พันก้านเองกับมือ ดอกสีม่วงๆ นี่แม่เป็นคนทำเพราะดูเราทำแล้วคงไม่รอด 555
ฝีมือแม่ๆ เขาล่ะ
ข้าวเที่ยงวันนี้จัดเต็มตั้งแต่มื้อแรก อยากบอกว่าอาหารที่นี่อร่อยมากก ก. ไก่ ล้านตัวไปเลย แต่ละคนสองจานเป็นอย่างต่ำ ผักก็สดเพราะเห็นแม่ครัวเดินไปเด็ดจากสวนหลังบ้าน
ชาวบ้านปลูกสตอเบอรี่ขาย ปลอดสารด้วย เก็บกินได้เลย อย่างสวนสตอเบอรี่ที่โฮมสเตย์บ้านสวนกลางดอย แม่ๆ บอกว่าลูกใหญ่เขาเก็บไปขายแล้วแต่ก็ยังมีลูกเล็กๆ อยู่ อยากกินลูกไหนก็ไปเด็ดได้
เดินย่อยอาหารซักหน่อย เดินไปเดินมากลับอิ่มกว่าเดิมเพราะชิมสตอเบอรี่ไปหลายลูก
ต่อมาก็ถึงไฮไลท์ของบ้านปงไคร้ หมู่บ้านที่ดูภายนอกก็เหมือนกับหมู่บ้านทั่วไปแต่มีห้องแลปเล็กๆ เป็นของตัวเอง นักวิจัยก็ไม่ใช่ใครอื่น แม่ๆ ที่นี่แหละ แม่บอกแม่จบแค่ ป.4 แต่เพาะพันธุ์กล้วยไม้เป็นนะ จากนั้นแม่ก็จัดแจงสวมถุงมือแล้วเพาะให้เราดู
ขั้นตอนการเพาะกล้วยไม้ อืมมมม…อธิบายยากจริง รู้แต่ว่าคนทำต้องใจเย็นและมือเบามากที่เห็นในรูปคือกล้วยไม้ที่เพาะแล้วระยะหนึ่ง นำออกจากขวดเพื่อขยายพันธุ์ต่อ แม่บอกว่ากว่าจะโตต้องใช้เวลาอีก 3 ปี ให้เราเขียนชื่อไว้ อีก 3 ปีค่อยมาดูใหม่ โค๊ะ..สามปี๋เลยกาแม่ เลยได้รู้ว่ากล้วยไม้ที่เห็นสวยๆ ไม่ได้ออกดอกกันง่ายๆ นะ ต้องใช้เวลาเป็นปีเลย
แม่ๆ ของเราน่ารัก อัธยาศัยดีกันทุกคน พาเดินเที่ยวหมู่บ้านแล้วก็ชวนไปดูสวนบ้านนั้น เข้าบ้านนี้ตลอด เดินกันจนถึงตอนเย็น สังเกตได้ว่าหมู่บ้านนี้มีหมาเยอะมาก พอไปบ้านไหนหมาก็ออกมาต้อนรับ พอพ้นเขตบ้านไปก็จะมีหมาตัวใหม่ออกมาเรื่อยๆ
สวนพริก นอกจากชาวบ้านสวนใหญ่จะทำสวนกันแล้วแทบทุกบ้านจะปลูกผักสวนครัวกินเอง
แม่พามาดูสวนพริกแล้วแถมพริกให้ถุงใหญ่เลย
ปั๊มหลอด อย่างเท่!
แวะทุกสวน
พอกลับมาถึงที่พัก ลุงเบิ้มก็จัดเมนูเด็ดให้เลย ปลาหลาม คือปลาคลุกกับพริกแกงใส่ในกระบอกข้าวหลามเผาจนปลาสุก ลุงบอกระหว่างรอก็ไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนเลยเน้อ กลับมาได้กินแน่นอน
ลืมถ่ายรูปห้องพักมาแต่จะบอกว่าห้องพักโอเคมากๆ มีน้ำอุ่นให้อาบ พอมาถึงบริเวณที่กินข้าว ชาวบ้านก็จัดพิธีฮ้องขวัญให้ก่อน เป็นความเชื่อของที่นี่
กับข้าวมาแล้วว จัดเต็มเหมือนเดิม นี่ไงปลาหลาม ผ่านไปห้านาทีเหลือแต่ก้าง
ตามด้วยการแสดงของน้องๆ ในหมู่บ้าน 14 องศา ครับผมม น้องบอกเย็นๆ ค่ะ ไม่หนาวมาก แต่เราใส่เสื้อกันหนาวสองตัวเลย
คลายหนาวด้วยกองไฟอุ่นกับของว่างอย่างมันเผา ข้าวโพด แล้วข้าวหลามของที่นี่เขากินกับนมข้น เอ่อ แปลกดีอร่อยด้วย
ปล่อยโคมๆ
ตื่นเช้าๆ หมอกเต็มเลย อากาศหนาวมากกก
แวะซื้อของไปใส่บาตรกัน
ใส่บาตรเสร็จชาวบ้านก็พาไปดูทะเลหมอกกันต่อที่จุดชมวิวบ้านปงไคร้ ทางไปไม่ต้องบรรยายมาก บอกเลย ง่วงๆ อยู่นี่ตื่นทันที
ถึงจุดชมวิวตอนเจ็ดโมงกว่าแต่ทะเลหมอกยังมีอยู่ อีกฝากหนึ่งมองเห็นม่อนแจ่มด้วย
ชาวบ้านบอกว่าหนาวเหรอ ไม่ต้องห่วงเราเตรียมน้ำร้อนให้
ภูมิปัญญาชาวบ้านของแท้ ต้มน้ำร้อนในกระบอกไม้ไผ่
สวัสดีข้าวหลาม เราเจอกันอีกแล้ว จิ้มนมกินโล้ดดด
จากนั้นก็ขึ้นรถกลับแต่มาได้ครึ่งทางก็ลงเดินป่ากันต่อ ต้นกล้วยในป่าสูงมากกก
ต้นพระเจ้าห้าพระองค์ พี่ๆ นักท่องเที่ยวอาสาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าที่เรียกว่าพระเจ้าห้าพระองค์เพราะเมล็ดของต้นไม้มีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปห้าองค์นั่นเอง เก็บไปล้างแป๊บบบ
กล้วยไม้ที่ชาวบ้านนำมาปล่อยคืนสู่ป่า กำลังโตเลย
ถึงเวลากลับกันแล้วนี่คือต้นไคร้หรือเทพทาโรที่มาของชื่อหมู่บ้าน
แม่ๆ ที่โฮมสเตย์เตรียมอาหารเช้าไว้ให้ แยมสตอเบอรี่ที่นี่เขาทำเอง อร่อยมาก
ข้าวต้มร้อนๆ กับอากาศอุ่นๆ
จากนั้นก็นั่งพูดคุยถึงสิ่งที่นักท่องเที่ยวอาสาอยากจะแนะนำ มีทั้งคำติและคำชมที่อยากให้ชาวบ้านนำไปพัฒนาการท่องเที่ยวของหมู่บ้านตนเอง นอกจากกล้วยไม้และผืนป่าจะเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับชาวบ้านแล้ว เราว่ารอยยิ้ม ความมีน้ำใจ เป็นกันเองของชาวบ้าน ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีค่าไม่แพ้กล้วยไม้หายากอย่างฟ้ามุ่ยเลย หมู่บ้านปงไคร้ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะ เข้าไปดูกันได้ที่ การท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านปงไคร้
[wpgmza id=”220″]