เก็บชา . วิถีลาหู่ . ดูหมอก ที่ #ดอยปู่หมื่น กับ TAT Chiang Mai
หยุดยาวนี้ไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ส่วนแอดนั้นอยู่ที่ “ดอยปู่หมื่น” อ.แม่อาย บอกเลยว่าคุ้มค่าแก่การมามากๆ มีทั้งกิจกรรมเก็บชา ทำอาหาร เดินเล่น ชมการแสดงของชาวบ้าน เรียนรู้วิถีชีวิตของชนเผ่าลาหู่ ฟังประวัติชาต้นแรกที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้กับชาวบ้าน แอดไปแบบเช้าไปเย็นกลับแล้วยังอยากไปอีกรอบเพราะประทับใจมากๆ ทั้งอากาศดีๆ ความรู้เรื่องชาและความน่ารักของชาวบ้าน อย่ารอช้าไปอ่านรีวิวเต็มๆ กันเลย
พิกัด : ดอยปู่หมื่น ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปดอยปู่หมื่นประมาณ 4 ชั่วโมง ใครอยากขึ้นไปบนดอย แนะนำให้เหมารถชาวบ้านขึ้นไปเพราะทางโหดมาก ไม่แนะนำให้ขับรถไปเอง
กิจกรรม “เที่ยวเหนือสบาย สไตล์ปู่หมื่น” ราคา 750 บาท/คน เช้าไปเย็นกลับ มีรถรับส่งจากที่พักไปดอยปู่หมื่น มีกิจกรรมเก็บชา, ข้าวกระบอกไม้ไผ่, ชมวิถีชีวิตชาวบ้านเผ่าลาหู่ คั่วชา พาชมชาต้นแรก กิจกรรมเบลนด์ชา โทร : คุณหยก 095-6977741
Fan page : Ahpa Tea ชาของพ่อ
ก่อนที่เราจะไปดอยปู่หมื่น เราพักกันที่โรงแรม Phumanee Lahu Home Hotel ซึ่งเจ้าของโรงแรมก็เป็นลูกหลานของปู่หมื่นนั่นเอง ภายในโรงแรมมีนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าลาหู่ มีเสื้อผ้า ของใช้ทั่วไปจัดแสดงอยู่ด้วย แถมยังมีอาหารพื้นบ้านหาทานยากให้เราได้ชิมกัน ใครที่สนใจทริป “เที่ยวเหนือสบาย สไตล์ปู่หมื่น” ก็สามารถติดต่อผ่านโรงแรมได้เลย ในส่วนของที่พัก ราคาเริ่มต้นที่ 500 บาท รวมอาหารเช้า
ทางโรมแรมได้จัดกิจกรรมเล็กๆ คือการพาชมนิทรรศการเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชนเผ่าลาหู่ ให้พวกเราได้เรียนรู้กันก่อน
“ชนเผ่าลาหู่อพยพมาจากทางทิเบตตอนใต้และมาปักหลักอาศัยอยู่ ณ ดอยแห่งนี้ โดยมีผู้นำชุมชนที่มียศเป็นหมื่น เป็นผู้ที่ดูแลปกครองคนในชุมชน ทุกคนเลยเรียกว่า “ปู่หมื่น” และเรียกดอยแห่งนี้ว่าดอยปู่หมื่นนั่นเอง ปู่หมื่นมีลูกเขยชื่อจะฟะและได้แต่งตั้งให้จะฟะเป็นผู้นำชุมชน
ดอยปู่หมื่น เดิมทีเป็นแหล่งปลูกฝิ่นและมีการบุกรุกป่า จนเมื่อในหลวง ร.9 เสด็จฯ เยี่ยมชุมชน ในปี พ.ศ. 2515 ได้พระราชทานชาต้นแรกให้กับดอยปู่หมื่นเพื่อให้นำไปปลูกขยายพันธุ์ต่อไป โดยเป็นชาสายพันธุ์อัสสัม ปัจจุบันชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีอาชีพเก็บชา แปรรูปชาและยังถ่ายทอดความรู้เหล่านี้สู่ลูกหลานอีกด้วย”
ปัจจุบันดอยปู่หมื่นได้มีการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวภายในชุมชนเพื่อให้คนภายนอกได้มาเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวลาหู่ ซึ่งก็คือกิจกรรมที่เราจะไปทำกันในวันนี้นี่เอง
เราออกเดินทางกันประมาณ 7.30 น. โดยนั่งหลังรถกระบะของชาวบ้านไป ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็ถึงดอยปู่หมื่น ครึ่งทางแรกเป็นทางราบ ผ่านหมู่บ้านและสวนของชาวบ้าน ต่อจากนั้นจะเป็นทางที่ชันขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่แอดชอบป่าที่นี่มาก เพราะมองไปทางไหนก็เขียวไปหมด อากาศดีมากๆ ด้วย
พอมาถึงดอยปู่หมื่น ลุงโดมได้พาเราไปดูชาต้นแรกที่ในหลวง ร.9 ได้พระราชทานให้ ลุงโดมยังเล่าให้ฟังอีกว่า “ต้นชาถ้าเราไม่ตัด มันก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนชาต้นนี้นี่แหละ ต้นชาที่อยู่รอบๆ ก็ปลูกพร้อมกันแต่เราตัดและเก็บใบชามาเรื่อยๆ มันก็เลยไม่สูง ต้นชามีอายุเป็นร้อยๆ ปีเลยนะ นอกจากจะสร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้ว ยังเป็นมรดกที่สามารถส่งต่อให้ลูกหลานได้อีกด้วย”
หลังจากดูชาต้นแรกไปแล้ว เราก็เข้ามาในหมู่บ้านและทำกิจกรรมกันต่อ
ก่อนจะไปทำกิจกรรมต่อนั้น เราขอแว็บมาชมวิวดอยปู่หมื่นกันก่อน อากาศเย็นๆ กับเครื่องดื่มร้อนๆ เข้ากันได้เป็นอย่างดี
นอกจากกิจกรรมเกี่ยวกับชาแล้ว เรายังได้เรียนรู้วิถีชีวิตชนเผ่าชาหู่ในด้านอื่นๆ อีกด้วย อย่างอาหารที่มักทำกินกันในวันสำคัญ มีวิธีการทำที่เรียบง่ายแต่อร่อยจนต้องขอข้าวเพิ่ม แอดคอนเฟิร์ม! ที่เห็นก็จะเป็นข้าวในกระบอกไม้ไผ่ หอมและอร่อยมาก
ส่วนเมนูที่แอดชอบมาก็คือไก่ลุยไฟ ไก่เสียบไม้ย่างกับไฟ พอสุกแล้ว หอมมาก เนื้อนุ่มอร่อยย ตอนแรกก่ะจะชิมซักชิ้นหนึ่ง ชิมไปชิมมาหมดไปสามชิ้นเลยจ้า อร่อยจริงๆ
ในระหว่างที่รอข้าวกับไก่สุกนั้น เราก็ไปเรียนรู้วิธีการเก็บชาและคั่วชากันต่อ
เราจะได้รับตะกร้าคนละหนึ่งใบและไปที่ไร่ชา ลุงโดมสอนว่า เวลาเก็บชาให้เด็ดตรงยอดสามใบแรกแบบนี้
หลังจากนั้นก็นำใบชามาผึ่งไว้ซักพัก แล้วนำมาคั่วและนวด จากนั้นจึงนำไปอบ
หลังจากนั้นเรามีเวลาเหลือประมาณ 1 ชั่วโมง ลุงโดมเลยพาเราไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านกัน ทางดูสบายๆ นะ แต่เล่นเอาหอบเหมือนกัน หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่วิวสวยมาก อากาศดีมากๆ
เดินไปเรื่อยๆ และแวะถ่ายรูปกันเป็นบางจุด ส่วนแอดนั้นถ่ายทุกจุดไปเลยเพราะชอบมาก หมอกเริ่มมาแล้วด้วย
หมู่บ้านคือเล็กๆ น่ารัก
แอดเจอสิ่งนี้ รถขายไอติมขี่ขึ้นมาถึงบนดอย ไอติมอันละ 10 บาทเองเน้อ ของแอดเป็นไอศกรีมขนมปัง ส่วนของน้องตัวเล็ก เป็นข้าวเหนียวราดนม วันหลังแอดต้องลองบ้างแล้ว
พอกลับมาข้าวก็สุกพอดี มันเยอะมากก ชาวบ้านยกมาเสิร์ฟเรื่อยๆ อร่อยทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นไก่ลุยไฟ ข้าวในกระบอกไม้ไผ่ น้ำพริก ผัดผัก ข้าวไข่เจียว อร่อยที่สู้ดดดด ใครไปดอยปู่หมื่นต้องห้ามพลาดดด
ก่อนจะกลับไปทำกิจกรรมกันต่อที่โรงแรม ชาวบ้านก็มีการแสดงเล็กๆ น้อยๆ มามอบให้เราด้วย
เราเดินทางกลับกันประมาณ 15.00 น.
พอเราได้ไปเรียนรู้ต้นกำเนิดของชาบนดอยปู่หมื่นกันแล้ว เราก็ได้มาทำกิจกรรมเบลนด์ชากันต่อ เราได้ชิมชาป่าด้วยนะ พี่หยกเล่าให้เราฟังว่า ชาป่ามีอายุประมาณ 800-1,000 ปี ต้องเดินเท้าเข้าไปเก็บใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง และเก็บได้เพียงปีละหนึ่งครั้ง มีสรรพคุณมากมายเลย คาเฟอีนน้อยมากๆ ด้วย
หลังจากนั้นเราก็ได้ทำกิจกรรมเบลนด์ชาและนำชากลับมาดื่มที่บ้านอีกด้วย
แอดกลับถึงตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 18.00 น. พร้อมกับความทรงจำดีๆ มากมาย ใครอยากไปสัมผัสบรรยากาศแบบแอดสามารถติดต่อทางโรงแรมได้เลย อยู่ในรูปถัดไปนี้เลยจ้า