ดอยสะโง้ หลายคนอาจยังไม่รู้จัก ใช่แล้วเราก็เพิ่งรู้จัก การมาดอยสะโง้เดินทางออกจากเชียงรายมาชั่วโมงกว่า ๆ มาทางอ.แม่จัน (ถ.หมายเลข 1 ทางเดียวกับไปแม่สาย) ระหว่างทางก็ผ่านท้องทุ่งนาพาใจดวงน้อย ๆ ของเราเริ่มสงบจากความวุ่นวายของเมือง และสิ่งที่อยู่ภายในลงมาบ้าง
แรกเห็นเราเจอลานกางเต๊นท์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดดอยแยกส่วนกับห้องพักที่ชาวบ้านช่วยกันสร้าง เจ้าแกะน้อยเล็มหญ้าโดยไม่ได้สนใจว่าเรายืนอยู่ตรงนั้น
ฉันยืนอยู่ที่ตรงนี้มองออกไปเห็นแม่น้ำสายใหญ่หล่อเลี้ยงผู้คนที่รายรอบสายน้ำ ทำให้ฉันคิดไปว่า
มันช่างคล้ายคุณเหลือเกินคนที่ใครๆก็รายล้อมคุณไว้
ถ้าคุณได้อยู่ตรงนี้ยืนข้างๆกันเราคงมีเรื่องที่จะคุยด้วยกันมากมายเลยหละว่ามั้ย แต่คุณก็คงบอกว่า “งั้นเวลาโยกบ้านก็พังสิ” ฉันเดาได้ว่าความทะลึ่งของคุณมันไม่ได้ลดลงไปแน่นอน
เอาเป็นว่าฉันพยายามจะไม่นึกถึงคุณ ฉันไปหาชาร้อนๆทานแก้หนาวดีกว่า หนังสือในกระเป๋าพร้อมกล้องถ่ายรูปถูกหยิบออกมาวางคู่กัน
“รูปเก่าๆในการ์ด 8 Gb ยังมีรอยยิ้มของคุณอยู่”
ฉันแอบคิดว่าทำไมฉันไม่ลบรูปคุณไปตั้งแต่ตอนนั้น
น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้มาช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม ทุ่งดอกเก๊กฮวยสีเหลืองและสีขาวจะบานสะพรั่งทั้งดอย แต่ใครจะรู้หละว่าความเหงาจะผลักฉันมาที่นี่ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้
ทางเดินทำด้วยไม้ไผ่แห้ง รอบๆเป็นพืชผักสวนครัวที่ชาวบ้านจะเอามาทำกับข้าวให้เราได้กินเย็นนี้หละ ทุกอย่างปลอดสารพิษ อิจฉาคนที่นี่ที่มีชีวิตที่ดีกว่าคนเมืองแบบฉันเสียอีก
ระหว่างทางเดินไปบ้านแต่ละหลัง มีทางแยก ทางร่วม
ฉันคิดได้ว่ามันก็เหมือนตอนเราเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันหละ เราอาจร่วมทางกันแค่ชั่วคราวก่อนพบทางแยกในความสัมพันธ์ และเราอาจพบกันในวันหนึ่งอีกก็ได้
จุดชมวิวทำขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่รกหูรกตา หน้าหนาวคงมีผู้คนมากับครอบครัว มากับคู่รักที่แย่งกันอวดวิวสวยและทะเลหมอก มีเพียงฉันที่อวดความสงบนิ่งของขุนเขาและเก็บเกี่ยวสายลม
ฉันออกสำรวจพบว่านี่คือทิศตะวันตก ฉันเฝ้ารอพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลยหละ ประสาอะไรกับความคิดฉันที่คิดว่าจะมีอะไรคงอยู่ตลอดไป ฉันยังเป็นคนยึดติดแบบที่คุณว่าจริงๆหละ
ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่าย อาจเพราะสิ่งที่มากระตุ้นปลุกเร้าเขายังน้อย หรือไม่เขาก็เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนี้
เจ้าแกะน้อยยิ้มให้เราด้วยหละ เราเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว เราหัวเราะนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่โล้ชิงช้าและกรีดร้องด้วยความกลัว เหมือนหลายๆอย่างที่นี่กำลังทำเราเผลอสุขใจ
ความเศร้าของเราลดลงแล้วหละ…
ที่นี่นอกจากมีที่พักแล้วกลางคืนยังมีกิจกรรมรอบกองไฟ ที่จะมีชาวบ้านมาแสดงการละเล่นพื้นเมือง ร้องเพลงต้อนรับเรา และโล้ชิงช้า เหมือนงานเฉลิมฉลองงานหนึ่ง เราเองก็ได้ละตัวตนคนเมืองและเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนไปด้วย คืนนี้ต้องสนุกแน่นอน
ตกเย็นอากาศเริ่มหนาวฉันเดินมาหาอะไรอุ่นๆที่ร้านในที่พักทาน คาดว่าจะเป็นมาม่าหละ แต่ที่นี่มีอาหารที่ต้องจองด้วยหละ หัวละ 250 บาท ราคาเหมือนจะสูงไปแต่เรียกได้ว่าเราไม่เคยกินอาหารดอยที่ไหนที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย
ข้าวห่อทำจากข้าวไร่ที่ปลูกเอง คล้าย ๆ ข้าวญี่ปุ่นเลยหละ
ผู้หญิงคนนั้นมากับแฟนของเขาหรือเพื่อนก็ไม่รู้ พาลคิดไปว่า
ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกันมันคงดีกว่าตอนนี้เนอะ
เห็นรถแล้วคิดถึงผู้ชายขาลุยแบบเธอ ป่านนี้เธอจะเดินทางอยู่ที่ไหนนะ …
วันนี้ยังคงวุ่นอยู่กับการคิดถึงเธอ
เราว่าความหนาแน่นของความเหงามันคลายตัวไปแล้วหละ … ถึงแม้เราจะคิดถึงเธออยู่บ้างก็ตาม
ฝากรถข้างล่างแล้วให้รถที่พักมารับ สำหรับรถตู้หรือรถเก๋งต้องจอดไว้ข้างล่างแล้วใช้บริการรถท้องถิ่นของชุมชน คิดราคาคนละ 20 บาท/เที่ยว โดยรถที่จอดไว้บริเวณด้านล่างจะเสียค่าจอดอีก 30 บาท
ราคาที่พัก
:: บ้านพัก สำหรับพักไม่เกิน 10 คน ราคา 4,000 บาท รวมอาหารเช้า (ห้องน้ำในตัว)
:: บ้านพัก สำหรับพักไม่เกิน 16 คน ราคา 8,000 บาท รวมอาหารเช้า (ห้องน้ำในตัว)
:: บ้านพัก สำหรับพักไม่เกิน 20 คน ราคา 10,000 บาท รวมอาหารเช้า (ห้องน้ำในตัว)
สำหรับมื้อเย็นชุดขันโตกอาหารชนเผ่า ตกคนละ 250 บาท (มีหลายขนาดตามเราต้องการ)
นำเต็นท์ไปกาง คิดค่าบริการหัวละ 100 บาท
ห้องน้ำรวมนะ มีบ้านพักประมาณ 20 หลังค่ะ
ติดต่อคุณ ทวีพงษ์ สะโง้