เที่ยวแม่ออน เรื่องราวที่ทุกท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวจากการเดินทางไปท่องเที่ยวของนายเจ๋งและทีมงานรีวิวเชียงใหม่ ที่ได้เดินทางไปเพื่อพักผ่อนกันเมื่อช่วงวันเสาร์ – อาทิตย์ ที่ผ่านมา ดังนั้นเนื้อหาข้างในอาจจะยืดยาวแต่ในเรื่องของข้อมูลต่างๆ รวมถึงความสนุกสนานผมก็มีให้ท่านผู้อ่านอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัว จัดกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปกับพวกเรากันดีกว่าครับ
คลิปตัวอย่างเกริ่นเข้าเรื่อง ลองดูกันนะเพื่อเพิ่มอรรถรส
” แม่ออน “
เป็นอำเภอขนาดเล็กในจังหวัดเชียงใหม่ สามารถออกเดินทางได้โดยการใช้ทางเส้น ทางหลวงหมายเลข 1317 เส้นเชียงใหม่ – แม่ออน อ.แม่ออนอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตรด้วยกัน เส้นทางนั้นเป็นถนนลาดยางอย่างดี ดังนั้นในเรื่องของการขับรถบนท้องถนนก็สบายใจได้ส่วนหนึ่งแล้วล่ะ ตลอดการเดินทางถ้าหากเป็นในวันที่อากาศดี มีแดด เราจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของ ท้องฟ้าสีฟ้าสวยงามกับนาข้าวสีเขียว สีเหลือง สลับกับ ทิวเขา มากมายที่เรียงรายอยู่ตลอดข้างทาง
View พาเที่ยว เส้นแม่ออน เชียงใหม่ in a larger map
ในการเดินทางครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นโอกาสดีมากเพราะนอกจากจะได้เดินทางไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนจากการทำงานหนักแล้ว ผมยังได้มีโอกาสทดลองขับรถ Ford ECO SPORT ที่ว่ากันว่าเป็นสุดยอด Mini SUV คันแรกของประเทศไทยด้วยแหละ งานนี้ผมต้องขอขอบคุณ ศูนย์ฟอร์ด อเมริกัน มอเตอร์ (เชียงใหม่) สาขาช้างเผือก ที่ให้ผมนำรถ Ford ECO SPORT มาทดลองขับในถนนจริงเหมือนใช้ในชีวิตประจำวัน มา ณ ที่นี้ ด้วยครับ
ว่าแล้วทีมงานเราก็เริ่มออกเดินทางกันไปตาม ทางหลวงหมายเลข 1317 ซึ่งบนเส้นทางนี้ก็มีสถานที่น่าสนใจอยู่หลายๆ ที่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวเป็ดบ้านทุ่ง, นาซิ จำปู๋ และ น้ำพุร้อนสันกำแพง แต่ในวันนี้เรามีจุดหมายแรกอยู่ที่ “Log of Paradis” หรือ สรวงสวรรค์บนท่อนซุง ซึ่งที่นี่ก็จะมีให้บริการหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น การให้บริการในเรื่องของอาหารการกิน กิจกรรมการขี่ม้า ยิงธนู หรือ เรื่องของที่พักที่มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 500 – 3,000 บาท ก็มีด้วยเช่นกัน แต่ว่าการมาเยือนของเราในครั้งนี้จุดประสงค์ของพวกเราไม่ได้อยู่ที่การเข้าพักแต่อย่างใด แต่อยู่ที่เรื่องของอาหารต่างหากล่ะครับ เพราะมีหลายคนมาบอกผมว่าไปแม่ออนทั้งที ไม่ต้องรีบออกสายๆ แล้วก็ไปแวะกินข้าวเที่ยงที่ Log of Paradis นี่แหละเยี่ยมเลย มาถึงแล้วก็ขอจอดรถถ่ายรูปซะหน่อย
Log of Paradis
- เวลาเปิด-ปิด : 10:00 – 21:30
- เบอร์โทร : 081 751 5127 , 089 429 2992 , 053 880 999
- Google Maps : 18.736491, 99.197338
เมื่อมาถึงแล้วคณะการเดินทางของเราเดินเล่น แล้วเก็บภาพบรรยากาศบางส่วนมาให้กับท่านผู้ท่านได้ดูกัน เริ่มต้นด้วยบรรยากาศวิวภูเขาทุ่งหญ้า ม้าและฟ้าเปิด จากโต๊ะกินข้าวซะเลย
มาถึงแล้วก็ต้องขี่ม้าสิครับ!! ลองขี่กันดูได้ครับสนุกๆ สามารถขี่กันได้ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ ในราคา 50 บาทเหมือนกัน สำหรับท่านที่จะให้ลูกหลานตัวน้อยๆ ขี่ม้านั้นในเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องกังวลไปครับเพราะว่า จะมีคุณลุงคอยดูแลให้อย่างดีเยี่ยมเลย จากนั้นคุณลุงก็จะจูงม้าพาเดินเล่น 1 รอบสนามครับ งานนี้บอกเลยว่าเด็กๆ ชื่นชอบกันมากครับ
สำหรับในส่วนของผู้ใหญ่คุณลุงเค้าจะสอนเราตั้งแต่การขึ้นม้า การจับเชือก และ คำสั่งต่างๆ (สอนไปสอนมาเหมือนจะโดนดุยังไงก็ไม่รู้) จากนั้นแกก็จะลองให้เราสั่งม้าให้เดิน และ บังคับเลี้ยวดูเองครับ ถ้าขี่ได้ก็ขี่เองเลย 1 รอบสนาม แต่ถ้ากลัวมากไม่กล้าให้ม้าเดินเลย ก็คงต้องนั่งขี่สวยๆ ถ่ายรูปแล้วก็ลงแบบ อีฟซี่ พาตะลุย นี่แหละครับ (นางกลัวจนเกร็ง แต่พอเห็นกล้องปุ๊บ ยิ้มร่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นี่แหละ The Show Must Go On)
ขี่ม้ากันเสร็จแล้วก็ได้เวลาของอาหารเที่ยงแล้วล่ะครับ พอพวกผมเดินกลับมาถึงโต๊ะเท่านั้นแหละถึงขั้นตะลึงเพราะว่า จัดมาหลายเมนูเต็มโต๊ะเลย ไม่ว่าจะเป็น “ไส้กรอกเยอรมันรวม” ที่กรอบ หอม อร่อย จานนี้ แป๊บเดียวหมดครับ
“ผักโขมอบชีส” จานนี้เด็ดครับบอกเลยว่า เหมาะกับเป็นจานเรียกน้ำย่อยมาก ชีสหอมๆ ผักโขมที่อบกับครีมซอสสูตรเด็ด ตักกินกันแป๊บเดียวหายอีกแล้วครับจานนี้ ต่อกันด้วยของกินเล่นอีกซักจานกับ
“หอยแมลงภู่อบชีส” หอยแมลงภู่ตัวใหญ่ๆ นูนๆ โปะหน้าด้วยชีสและเนยกระเทียมก่อนที่จะนำไปอบจนสุก ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งโตีะ เป็นอีกจานที่แนะนำว่า ควรสั่งมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย หรือ ทานเล่นครับ
กินเล่นกันมาเยอะแล้วได้เวลากินแบบจริงๆ จังๆ กันบ้างแล้วล่ะ มาเริ่มต้นกันที่ “ทีโบน สเต๊ก” สเต๊กเนื้อติดกระดูกชิ้นใหญ่ ที่ย่างจนได้ความสุกของเนื้อตามความต้องการของแต่ละคน จานนี้นุ่มดีครับ กินคู่กับน้ำเกรวี่ซอสและเครื่องเคียง บอกเลยว่าเยี่ยมครับ
มาปิดท้ายกันด้วยเมนูขวัญใจมวลชนอย่าง “สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าซอสครีม” ที่นำเอาเส้นสปาเก็ตตี้ไปผัดกับซอสครีม ชีส และ ไข่ ให้เข้ากันจนเป็นสีขาวนวลๆ ส่งกลิ่นหอมอย่างรุนแรงระดับ 10 เรียบร้อยแล้วก็ทำการโรยหน้าด้วยเบคอนทอดกรอบ ที่หั่นมาเป็นชิ้นเล็กๆ แบบให้พอแย่งกันกันสนุกสนาน จานนี้เหมือนจะหมดเร็วที่สุดท้ายทั้งๆ ที่มาเป็นจานสุดท้ายแล้ว
เมื่อกินเสร็จแล้วก็ได้เวลาขนย้ายขบวนทีมงานทั้งหลายออกจากสถานที่นี้เพื่อออกเดินทางไปยังสถานที่ต่อไปแล้วล่ะ ว่าแล้วก็มาถ่ายรูปหมู่ (Selfie) เป็นที่ระลึกกันหน่อย
ว่าแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อแล้วโดยจุดหมายต่อไปนั้นอยู่ที่ “ธารทองลอด์จ” ที่พักในหุบเขาที่ทำให้เราได้เข้าใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นในระหว่างทางนั้นเจอฝนด้วยเล็กน้อย แต่ว่าด้วยความเจ๋งของรถคนนี้ที่มีทั้งเรื่องที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เมื่อ Sensor ตรวจจับได้ว่าที่กระจกหน้านั้นเปียกมากก็จะทำการปัดน้ำฝนเองทันทีโดยที่เราเองไม่ต้องเอามือไปปรับแต่อย่างใด และปุ่มควบคุมการฟังเพลงทั้งด้วยระบบนิ้วกด และ การสั่งการด้วยเสียง ที่อยู่ที่พวงมาลัยก็ทำให้ขับสะดวกและเพลินดีด้วยครับ ซึ่งในจุดนี้ผมว่าช่วยลดอุบัติเหตุได้ในระดับหนึ่งเลยนะเพราะว่าไม่ต้องคอยเอื้อมมือไปกดนั่น กดนี่ ทั้งวิทยุ และ ที่ปัดน้ำฝน
หลังจากที่ขับผ่านมาหลายโค้งทั้ง ซ้าย และ ขวา และ ซ้าย และ ขวา ผมก็มาถึงยังสถานที่เป้าหมายแล้วที่
“ธารทองลอด์จ”
เมื่อจอดรถแล้วผมก็ไม่รอช้าครับที่จะรีบปลดภาระทุกอย่างไว้ที่รถก่อนที่จะรีบย่ำเท้าเดินไปตามทางที่ปูไว้ด้วยหิน จนเข้ามาถึงบริเวณสวนขนาดใหญ่ ซึ่งผมเองได้ตั้งชื่อไว้ให้แล้วว่า “สวนสวรรค์ของกระต่าย มุ้งมิ้งๆ” เพราะว่าในสวนนี้เป็นบริเวณเปิดกว้างให้กระต่ายภายในรีสอร์ทสามารถที่จะวิ่งไปมาได้อย่างอิสระ เมื่อนับๆ ดูแล้วก็น่าจะมากกว่า 20 ตัวล่ะครับ ดังนั้นท่านที่เอาสัตว์ชนิดอื่นมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นหมา หรือ แมว ขอความกรุณางดปล่อยลงวิ่งในสวนนะครับ เพราะอาจจะเกิดเหตุทำร้ายร่างกายเจ้ากระต่ายน้อยขึ้นมาก็ได้
หลังจากที่ขนของไว้ในบ้าน และ พักผ่อนกับพอประมาณแล้ว ก็ได้เวลาของอาหารเย็นกันแล้ว ในรอบเย็นนี้ น้องบูบี ของเราก็สั่งมาจัดแบบอลังการอีกแล้วววว ><” ในมื้อเย็นนี้อาหารบนโต๊ะของเราก็ประกอบไปด้วย ของเรียกน้ำย่อยอย่าง “ส้มตำไทย” และ “ปีกไก่ทอดน้ำปลา”
เมื่อของกินเล่นหมดก็ได้เวลาเข้าสู่ของกินจริง จานแรกยกมาวางดัง..ปั้ง !! ใหญ่มากจานนี้กับ “ปลาทับทิมทอดสมุนไพร” ที่นำเอาปลาทับทิมทั้งตัวไปทอดกับเครื่องสมุนไพรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หอมแดง, พริกไทยสด, กระเทียม, กระชาย, ใบมะกรูด จนสุก กรอบ จากนั้นก็ใส่ลงมาในจานเสิร์ฟร้อนๆ พร้อมกับน้ำจิ้มสามรส ทานพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ นี่เยี่ยมครับ
“ผักเชียงดาผัดไข่” จานนี้เป็นเมนูทางเหนือครับ ที่ทำกันแบบง่ายๆ แต่อร่อยมากๆ โดยการนำเอาไข่ไปผัดในน้ำมันร้อนๆ แล้วก็ขยี้ๆๆจนแตกเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นก็ใส่ผัดเชียงดา พริก และเครื่องปรุงต่างๆ จากนั้นก็คลุกให้เข้ากันก็เป็นอันเสร็จแล้วกับเมนูนี้ถ้าใครไม่เคยกินแนะนำให้ลองกินนะ แล้วจะติดใจ !!
ตบท้ายด้วยเมนูน้ำซักอย่างหนึ่งกับ “ต้มส้มไก่ใส่ยอดมะขาม” หม้อนี้รสชาติถึงพริก ถึงขิง ดีทีเดียวครับ สั่งมาซดระหว่างกินข้าวช่วยให้หายคอแห้งได้เป็นอย่างดี
กินเสร็จแล้วทำยังไง …. คำตอบคือ พักผ่อนครับ นั่งเล่น เอาเท้าจุ่มน้ำ หรือจะนอนเล่นกับพื้นก็ได้ไม่มีใครว่า งานนี้ทีมงานของเราจัดเต็มครับ น้องกระต่ายก็มาวิ่งเล่นด้วยไต่ไปมาตามโขดหิน และ วิ่งเล่นตามสวนหญ้า อร๊ายยยย ทูนหัวของบ่าว…. รอบ่าวด้วยยยยย !!! :3
หลังจากที่สนุกสนาน เฮฮา กันจนเต็มที่มาเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้วตอนเช้าก็ได้เวลาของการออกเดินทางกันแล้วครับ เป้าหมายต่อไปของการเดินทางก็คือ “โครงการหลวงตีนตก” ซึ่งเลยขึ้นไปไม่ไกลนักประมาณ 2 กิโลเมตรจากธารทองลอจ์ด ที่นี่เค้ามีบริการอาหารเช้าตั้งแต่เวลา 07:00 – 09:30 และ อาหารปกติก็มีบริการไปเรื่อยๆ จนถึงเวลา 1 ทุ่มตรง ด้วยความสงสัยเราก็เลยถามเจ้าหน้าที่ของโครงการหลวงไปว่าทำไมที่นี่ถึงมีชื่อเรียกว่า “ตีนตก” ก็ได้รับคำตอบมาว่า “ที่ตรงนี้เมื่อก่อนเป็นเส้นทางเดินเท้าค้าขายระหว่างเชียงใหม่ ลำปาง เมื่อเดินทางไปมาระหว่างสองจังหวัดผ่านเส้นทางนี้ เมื่อมาถึงจุดนี้ก็จะเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดินพอดี พ่อค้าเมื่อก่อนจึงเรียกว่า ตีนตก ซึ่งก็จะหมายความถึงประมาณว่า กว่าจะเอาตีนมาเหยียบตรงนี้ พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว” อะไรประมาณนี้ครับ
โครงการหลวงตีนตก
- เวลาเปิด-ปิด : 07:00 – 19:00
- เบอร์โทร : 053 318 316 , 093 146 7726
- Google Maps : 18.866905, 99.322498
หลังจากที่ถามเรื่องที่เราสงสัยต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาของอาหารเช้าแล้วล่ะครับ อาหารเช้าของที่นี่เราจัดมาอยู่สองแบบได้แก่ “ข้าวต้มเห็ดหอม” ที่เป็นอาหารเช้าในแบบไทยเรา และ ชุดอาหารเช้าแบบ ” American Breakfast” ชอบแบบไหนสามารถสั่งทานได้ตามใจชอบเลยครับ
นั่งกินข้าวต้มร้อนๆ ในเช้าที่ฝนพรำ ในบรรยากาศแบบธรรมชาติพร้อมฟังเสียงน้ำตก ฟินจะตายยย ไม่เชื่อดูหน้าของน้องทีมงานของเราสิครับ พริ้มเลย
หลังจากที่กินข้าวเช้า จิบกาแฟ เติมพลังกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางไปสู่จุดหมายต่อไปของเรากันที่ “The Giant Chiang Mai Thailand” หรือที่หลายๆคนรู้จักกันกันในชื่อ ร้านกาแฟบ้านต้นไม้บ้าง ร้านกาแฟ The Giant บ้างนั่นแหละครับ หากใครที่จะมาที่นี่ ผมต้องบอกให้ทราบก่อน 3 เรื่องใหญ่ๆ เลยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา 1. ตอนนี้ในส่วนของร้านกาแฟนั้นเปิดให้บริการเฉพาะ แขกที่มาพักผ่อนที่โรงแรม The Giant Chiang Mai Thailand เท่านั้นครับ ถ้าไม่ได้พักก็หมดสิทธิ์ 2. เส้นทางค่อนข้างลำบากสำหรับคนขับรถไม่ค่อนแข็งนะครับ มีทางชันบ้าง เป็นดินแดงบ้าง หลุมบ้าง ดังนั้นหากอยากที่จะเดินทางมาพักที่นี่ ต้องเตรียมรถและพลขับให้อยู่ในสภาพพร้อมนะครับ เพื่อความปลอดภัย 3. ถ้าจะมาพักที่นี่เตรียมใจเรื่องการตัดขาดจากโลกภายนอกได้เลยครับ เพราะว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ !! (แต่มีWi-Fi ให้ใช้นะ)
The Giant Chiang Mai Thailand
- เวลาเปิด-ปิด : Check-in 1 pm. – 10 pm. / Check-out 7 am. – 12 pm.
- เบอร์โทร : 053 317 677 / 080 6712313 / 086 7762946
- Google Maps : 18.892274, 99.352039
ถึงแล้วครับ The Giant Chiang Mai Thailand กับมุมที่เป็นมุมมหาชน ถ่ายสะพานแขวน กับ โรงแรมบ้านต้นไม้ การเดินข้ามสะพาน เดินได้เพียงครั้งละ 2 คนครับ ห้ามเล่นอะไรที่อันตรายบนสะพานนะครับ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง
ตอนนี้บรรยากาศของที่นี่จะค่อนข้างเงียบและสงบครับ เพราะว่า จะมีเพียงแขกของโรงแรมเท่านั้นที่ใช้บริการร้านกาแฟได้ ส่วนทีมงานของเราได้รับสิทธิพิเศษครับ ไม่ต้องพักก็กินได้ พอรู้แค่นี้แหละสั่งมา 1 ชุดให้หายอยากสมกับระยะทางที่บุกตะลุยมา
มาทั้งทีก็ต้องหาข้อมูลให้ท่านผู้อ่านกันหน่อยล่ะงานนี้ เดี๋ยวจะน้อยใจว่าไม่มีอะไรมาฝากจากบ้านต้นไม้ ซึ่งของฝากจากที่นี่คือ ข้อมูลเรื่องที่พักครับ ที่พักของที่นี่จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 ห้อง เป็นห้องใหญ่ 3 ห้อง และ ห้องเล็ก 2 ห้อง ห้องเล็กจะสามารถนอนได้ 2 คน ในราคา 3,500 บาท ส่วนห้องใหญ่ราคาจะอยู่ที่คืนละ 5,000 บาท พักได้ 2คน แต่สามารถเพิ่มเตียงพิเศษได้ ห้องละ 2 เตียง รวมเป็น 4 คน ในราคานี้ของทุกห้องจะรวมอาหารเช้า และ อาหารเย็นมาให้ด้วยเลย
นอกจากนี้แขกที่มาพักยังมีกิจกรรมให้เข้าร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปไหว้พระที่วัดด้วยกัน และ การเดินเที่ยวในป่าช่วงกลางวัน (มีค่าใช้จ่าย) ซึ่งเราจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ได้ แล้วแต่ความสมัครใจของเราเลย อาหารเย็นของที่นี่ก็จะจัดให้มาเป็นชุดครับ 1 ชุดมีอาหาร 4 อย่างด้วยกันอย่างในชุดนี้ ก็ประกอบไปด้วย “แกงเขียวหวานไก่” ที่รสชาตินุ่มกำลังดี หวานมันกะทิ “ต้มยำกุ้ง” ถ้วยนี้มารสชาติแบบกลางๆครับ ไม่เผ็ดมาก กุ้ง 3 ตัวเนื้อแน่น มันกุ้งเพียบ “ผัดผักรวม” ผักแบบว่าสดมาก หวานมาก และ กรอบมากครับ และ “หมูแดดเดียว” จานนี้ผมและทีมงานลงความเห็นว่ามันอร่อยฝุดๆ เมื่อกินทั้งหมด โดยรวมบอกเลยว่ามาตรฐานของอาหารที่นี่ดีครับ ไม่แพ้ที่พักหลายๆ ที่ในเมืองเลย วัตถุดิบเค้าสดโดยเฉพาะผัก
บรรยากาศตอนที่ทานข้าวก็สวยดีครับ ที่นี่หลังจากที่ฝนตกแล้วจะมีหมอกมาเต็มเลยคือ… มันเยอะมากอ่ะ เหมือนเราอยู่บนสวรรค์เลย แต่ตอนนี้ ดูแบบไกลๆ ไปก่อนนะครับ
“เฮือนใจ๋ยอง”
ในเส้นทางขากลับนี้ มีร้านอาหารอยู่ 2 ร้านที่น่าสนใจอยากจะแนะนำให้แวะทานกันครับ ร้านแรกคือร้าน “นาซิ จำปู๋” ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ที่เรื่อง “ร้านอาหารพื้นเมืองเชียงใหม่ ก่อนจากไป ต้องได้กิน !!” เลยนะครับ ส่วนอีกร้านนึงคือร้าน “เฮือนใจ๋ยอง” ร้านอาหารเมืองที่มีจุดเด่นในเรื่องของรสชาติอาหารแบบดั้งเดิม ตัวร้านที่เป็นบ้านไม้แบบโบราณที่ให้บรรยากาศการทานอาหารแบบคนเมืองจริงๆ หากเดินทางมาที่นี่ตอนขากลับร้านจะอยู่ทางซ้ายมือครับ เลยสี่แยกที่มีร้าน นาซิ จำปู๋ และ ทางเข้าสนามกอล์ฟอัลไพน์ มา