เป็นความตั้งใจแต่แรกของผมเลยว่าจะต้องเขียนเรื่องทริปภูกระดึงให้ได้
ตามแผนการเดิม ผมตั้งใจจะเขียนกันตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง จนล่วงเลยมาครบรอบอีก 1 ปี ถึงป่านนี้ก็ยังไม่ได้เขียนกัน
และผมก็คาดว่าตอนนี้แหละ คงเป็นช่วงเวลาเหมาะเจาะที่สุด ที่จะเขียนบรรเลงความรู้สึกทั้งผ่านตัวหนังสือ บรรยายเหตุการณ์เรื่องราวในครั้งนั้น
เหตุเกิดจากที่ช่วงเวลาดังกล่าว ผมหนีไปพักร้อนจากงานประจำอันแสนจะยุ่งยาก โดยมีโควตา 3 วัน 2 คืน เป็นเงื่อนไขเวลา
“ภูกระดึง” ชื่อแรกที่เด้งเข้ามาในหัวผมก่อนใครเพื่อนเลย ผมต้องไปที่นี้ อยากไปหลายทีแล้ว แต่ไม่มีโอกาส ถ้าไม่ไปตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปกันตอนไหน
นอกจากผมลงความเห็นแล้วว่าจะต้องไปลุยภูกระดึง “เธอ” คนพิเศษของผมก็พยักหน้าเห็นพ้องต้องกันด้วย
อีกไม่กี่วันต่อมา ผมจัดแจงแพ็กกระเป๋ายัดของเอาที่จำเป็นไปเท่านั้น แต่เรื่องที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรก็ดันมีปัญหา เพราะกระเป๋าเจ้ากรรมที่เธอซื้อมาเพื่อเดินป่าภูกระดึงโดยเฉพาะ มันเป็นกระเป๋าที่ทำจากยางเหนียว รูปทรงคล้ายกระสอบทราย เวลาปิดจะไม่มีซิป แต่จะเป็นที่ปิดเหมือนซองยาง คล้ายๆกับคุณหมอให้มาตามโรงพยาบาลทั่วไป เวลาจะสะพายก็แสนจะยาก วิธีที่ดีที่สุดคือต้องแบกเอา
ระหว่างทางไป ผมนั่งรถจากตัวเมืองอุดรตรงดิ่งไป จ.เลย ผมบ่นเป็นหมีกินผึ้งถึงเจ้ากระเป๋าใส่ของสองใบ ว่ามันใช้งานยาก สะพายก็ยาก แต่เธอก็พยายามจะยกหาข้อดีของมันมาอ้างผมว่า มันกันน้ำ กันฝนได้
ก็แล้วไงล่ะ เราทั้งสองไม่ได้เดินป่าช่วงหน้าฝนนิ แต่เป็นหน้าหนาวช่วงเดือนธันวาคม
บ่นจนเมื่อยปาก ก่อนจะเผลอหลับไปบนรถทัวร์ เราทั้งสองพาตัวเองมาอยู่ที่ทำอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ในตอนสายของวัน
ควักตังค์จ่ายค่าเช่าเต็นท์ และค่าธรรมเนียมอื่นๆให้อุทยาน ก่อนจะเดินไปจ้างคนหาบ หาบของสัมภาระขึ้นเขาในอัตรากิโลกรัมล่ะ 10 บาท
ส่วนเหตุผลการจ้างคงไม่มีอะไรมากไปกว่า การเห็นสภาพความลำบากในการสะพาย และขนาดของน้ำหนักกระเป๋าแล้ว (ขนาดเอามาแต่ของจำเป็นนะ)
เมื่อสัมภาระไม่มี คราวนี้ก็ได้เวลาเดินขึ้นภูกระดึง ในสภาพตัวปลิว ไม่มีอะไรมาเป็นภาระ โดยมีระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 9 กม. ซึ่งในระยะแรกจะเดินจากที่ทำการฯไปถึงหลังแปกัน 5.5 กม. ก่อนจะเดือนจากหลังแปไป ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอีก 3.5 กม.
ระหว่างทางไปถึงหลังแปผมกับเธอ ก็เดินกันไปเรื่อยๆ เหนื่อยถึงตรงไหนก็พัก ดื่มน้ำ หาถ่ายรูป บางครั้งก็มีสอบถามพูดคุยกับคนหาบของขึ้นภูว่า พวกเขาเป็นไง ทำงานนี้เหนื่อยมั้ยที่ต้องขึ้นลงเขาวันล่ะ 2 เที่ยว
ลืมบอกไปว่าสภาพป่าระหว่างทางส่วนใหญ่จะค่อยๆไล่เรียงไปตามระดับความสูง จากป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ไปจนถึงช่วงพักหลังแปคือ ป่าสนเขา อย่างแท้จริง
เกือบบ่ายสาม ผมกับเธอลากสังขารอันโรยรา พากันมาถึงหลังแป ก่อนจะรีบเดินไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอีก 3.5 กม. เพื่อรีบรับสัมภาระ ก่อนจะหาเต็นท์ที่พักเหมาะๆไว้นอนในตอนค่ำ
กำหนดการเดิมของเราคือ หลังจากขึ้นถึงที่พักแล้ว จะพากันไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก แต่พอเหลือบมองนาฬิกาในเวลาใกล้สี่โมงเย็น ในขณะที่ไปเช่าจักรยานปั่น เจ้าหน้าที่อุทยานแถวนั้นบอกในทำนองว่า “ยากเหลือเกินที่พวกคุณสองคนจะพาตัวเองไปผาหล่มสักทันในเวลาชั่วโมงเดียว เพราะจากศูนย์ไปนั้นมันไกลประมาณเกือบๆ 9 กม.”
เอาหน่าไหนๆ ไม่ได้ไปผาหล่มสัก ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกแทนล่ะกัน ก็แค่ปั่นจักรยานไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว
นั่งดูพระอาทิตย์ตกตรงผาหมากดูก มีแสงตะวันค่อยๆลับแสง ท่ามกลางสายหมอก นักท่องเที่ยวแถวนั้นก็ถ่ายรูปกันแชะชะอย่างสนุกสนาน พอความมืดย่างกรายเข้ามาเยือน จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหลายแถวนั้นเลยค่อยๆสลายตัวไปเข้าที่พัก
ระหว่างปั่นจักรยานกลับที่พัก ผมได้ยินเสียงลมแรงมั่กมาก มันเป็นเสียงของลมที่พัดบนยอดเขาผ่านต้นสน เสียงคล้ายๆฝนจะตก แต่ที่จริงมันไม่ใช่ฝน แต่เป็นแค่เสียงลมหนาวพัดในตอนค่ำที่เริ่มทวีความแรงมากขึ้นตามลำดับ พร้อมหอบเอาความหนาวเย็นยะเยือกมาเยือนเรื่อยๆ
ถึงที่พัก ผมหาอะไรทาน ก่อนจะหัวถึงหมอนในเต็นท์ ในสภาพที่เหนื่อยล้า เรื่องอาบน้ำอะไรนั้น อย่าได้หวังว่าผมจะจัดการมัน หนาวขนาดนั้น แถมน้ำอุ่นไม่มี พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่
ไปเฝ้าพระอินทร์นานจนถึงตอนตี 5 ครึ่ง เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่อุทยานแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวทุกคนว่า จะพาไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ใครยังไม่ลุก ก็ให้รีบๆ ประเดี๋ยวไม่ทันดู
สถานที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นคือ ผานกแอ่นครับ ระยะทางจากศูนย์ไปประมาณ 2 กม.ระหว่างทางไปต้องพกไฟฉายไปด้วย เพราะว่ามันยังมืดอยู่นั้นแหละเลยต้องพกไป
จากหกโมงเช้าจนเกือบสองโมงเช้า ผมกับเธอนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าผา บรรยากาศมันโอเคมากในตอนเช้าตรู่ ที่มีพระอาทิตย์ขึ้นค่อยๆทอฉายแสงตัดกับท้องฟ้าเป็นสีสวยงามตา ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ
ขากลับจากดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จ พวกเราทั้งสองแวะไปลานพระแก้ว ไปกราบไหว้พระ ถ่ายรูปเดี๋ยวเดียวก็รีบกลับเข้าที่พัก เก็บข้าวของเตรียมไว้ ก่อนจะไปหาอะไรกินเพิ่มพลัง โดยโปรแกรมวันนี้คือการเดินป่าเที่ยวไปตามจุดๆต่าง
ส่วนใหญ่ต้องบอกว่าเป็นน้ำตกครับ น้ำตกที่ผมผ่านก็จะมีทั้ง น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ และน้ำตกถ้ำใหญ่
บรรยากาศของน้ำตกโดยรวม มันไม่ค่อยมีน้ำไหลครับ เนื่องด้วยมันเป็นช่วงหน้าหนาวปลายปี ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนนิผมว่าคงจะเข้าท่าเยอะ แต่ปัญหาคือ เขาไม่เปิดให้เข้าอุทยาน
ระหว่างทางเดินเที่ยว ป่าไม้ก็มีสลับทั้งสมบูรณ์บ้างไม่สมบูรณ์บ้างตามสภาพพื้นที่ บางช่วงก็มีใบเมเปิ้ลให้ดู ถ่ายรูปสวยๆ หรือไม่ก็บางช่วง มองไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขาหัวโล้น ไกลๆหลายลูก
เที่ยวน้ำตกกันอย่างหนำใจเสร็จ พวกเราต่างพากันรีบกลับมาที่พักเพื่อเก็บของในช่วงบ่ายสอง แล้วลงภู โดยที่คราวนี้ ผมกับเธอไม่จ้างคนหาบแล้ว แต่จะหาบของลงมาเอง โดยมีเป้คนละใบเป็นสัมภาระ
ผมกับเธอเดินมาจากศูนย์มายังหลังแปในสภาพซอมบี้ ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน กระเป๋าก็สะพายไม่ได้ แถมหนักเป็นบ้าอีก เดินไปไม่ถึง 15 นาทีก็พากันพัก 15 นาทีอีกก็พัก อยู่แบบนี้หลายรอบ จนสุดท้ายโชคดีมีรถส่งของบนภูขับผ่านจะมาหลังแป พวกเราเลยขอติดรถมาด้วย
อนึ่งหลายคนคงสงสัยว่ารถ เขาขนขึ้นมาบนภูยังไง จากการสอบถาม คนขับตอบด้วยน้ำเสียงสุดหล่อว่า “ขนใส่ฮอลิคอปเตอร์มาครับ”
ดีนะที่มันไม่เป็นไปอย่างที่ผมคิด เพราะตอนแรกผมล่ะคิดว่า ต้องจ้างคนหาบ หาบขึ้นมาแน่ๆเลย แต่จะหาบมาไง ทางก็แคบ แถมยังชันและไกลอีก ทำได้ก็ซุปเปอร์แมนแล้ว
ถึงหลังแปบ่ายสาม ในสภาพอยากจะบอกว่าตายแล้ว เพราะคำนวณเวลาเสร็จสรรพ ผมกับเธอทั้งสองมีหวังถึงตีนภูกันค่ำแน่ๆ ต่อให้เร่งฝีเท้าขนาดไหนก็ตาม ไม่มีทางทัน
ก่อนลงจากหลังแปก็ต้องถ่ายรูปตรงป้ายว่าครั้งหนึ่งเราคือผู้พิชิตภูกระดึง ก่อนจะแบกกระเป๋าคนละใบรีบลงทันทีทันใด
ระหว่างทางลงเดินสวนกับคนหาบของขึ้นมาและเจ้าหน้าที่ ทุกคนล้วนแต่พากันถามว่าทำไมลงภูกันค่ำจัง ทำไมไม่ลงแต่ก่อนหน้านี้ซัก 2-3 ชั่วโมง ยังไงก็เร่งๆกันด้วย ประเดี๋ยวมันจะมืดไม่เห็นทาง
ผ่านมาครึ่งทางลงเขา พอยิ่งเดินก็ยิ่งมืด ยิ่งเหนื่อย เธอกับผมดูอ่อนล้าทั้งคู่ ผมช่วยเธอแบกกระเป๋า เธอจะได้เดินตัวเบาๆไม่เหนื่อยมาก ส่วนผมนิก็พยายามให้เธอรีบเดินเร็วๆ บอกว่าเดินไปก่อนเลย ไม่ต้องห่วง เพราะผมมันเดินช้า แถมต้องแบกเป้ทั้งสองใบในสภาพน้ำหนักกว่า 20 กิโล
ยิ่งมืด ยิ่งค่ำ สภาพป่าก็ยิ่งน่ากลัว ใจหนึ่งก็อย่างจะถึงตีนภูเร็วๆ แต่อีกใจก็อยากจะหยุดพักซักแปบบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ เวลาก็ไล่เข้ามาทุกที แถมสภาพร่างกายตอนนั้นมันเหนื่อยมากๆ เหนื่อยสุดๆในชีวิตผมเลยล่ะ
อีกอย่างผมยังห่วงเธอ กลัวเธอเป็นอะไรไปด้วย เพราะเธอไม่เคยมาลำบากอะไรแบบนี้ ผมพยายามกระตุ้นระหว่างทางว่า ถ้าเราทั้งสองไม่สู้ เราจะติดอยู่ในป่านี้ไปไม่ถึงไหน เราต้องเดินต่อไป เหนื่อยก็ต้องเดินต่อ เราถอยไม่ได้แล้ว เราต้องเดินหน้า
ผมหยิบไฟฉายออกมาส่องทางให้สว่างกับเธอคนล่ะกระบอก เพราะทางมันชัน ทั้งยังซิกแซก มีต่ำสูงสลับกันไป
ทุกครั้งเวลาที่เธอเดินล่วงหน้าไปก่อนผมจนไกลไม่เห็นแสงไฟ เธอจะตะโกนเรียกท้วงถามว่าผมเป็นอะไรมั้ย เพราะเธอกลัวสภาพป่าตอนนั้นด้วย ถามผม ผมก็กลัวเหมือนกัน แบบว่าบรรยากาศมันวังเวง เงียบสงัด มองไปไหน เจอแต่ต้นไม้เงาตะคุ่มๆ โดยที่เราไม่รู้ว่าในป่ามันมีอะไรบ้าง ที่เราคิดไม่ถึง ทั้งๆที่จริงมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้
เป็นใครเจอสภาพแบบผมตอนนั้น ก็ต้องประสาทหลอนแหละครับ เพราะทั้งสิ่งแวดล้อมที่เห็นอยู่ กับเรื่องเล่าจากนิยายเพชรพระอุมา ที่เคยอ่าน อีกทั้งสารคดีท่องป่าเขาลำเนาไพร เรื่องอาถรรพ์ เรื่องราวแปลกประหลาด มันต่างผุดขึ้นมาในหัวผมไม่หยุดหย่อน
ผมกัดฟันสู้กับเธอก้าวผ่านความน่ากลัวของป่าในยามค่ำสองคนอย่างลำบาก จนสุดท้ายเราทั้งสองก็พาตัวเองมาถึงตีนภูตรงที่ทำการฯได้
ผมวางกระเป๋าลงก่อนจะนอนแผ่หราตรงพื้นดินแบบหมดสภาพ ตาผมมองท้องฟ้าในยามค่ำ คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ผมทำสำเร็จ ผมพิชิตมันได้กับเธอสองคน ในแบบที่คนอื่นอาจจะไม่เคยทำ เพราะทุกคนที่ลงภูเขาลงมากันหมดตั้งแต่บ่ายสามแล้ว มีแค่ผมกับเธอเท่านั้นที่เดินฝ่าความมืดทะลุลงมา
ถึงผมเหนื่อยสุด แต่นี้คือทริปที่ผมภูมิใจที่สุด ทุกอย่างมันผสมผสานหลายอารมณ์เข้าด้วยกัน เหนื่อย ท้อ บ้า สนุก หัวเราะ และร้องไห้
ที่สำคัญผมร้องไห้ทั้งน้ำตา เพราะคำพูดบางอย่างตอนถึงตีนภูจากเธอ
“ตัวเองดีกับเค้ามาก เราผ่านมันมาด้วยกันได้ วันนี้ตัวเองโคตรสุภาพบุรุษสุดๆ”