ไร่ลุงเดชมีอะไรทำไมต้องไป: 5 สิ่งต้องทำในไร่ลุง

เราเลยขับรถออกจากเชียงใหม่มาหาคำตอบที่ อ.แม่แตง “ไร่ชาลุงเดช”

นี่คือ 5 สิ่งที่ต้องไปไร่ชาลุงเดช ที่เราสรุปได้จากการหาคำตอบของคำถามในครั้งนี้

---

1. ไปพักผ่อน

จริงๆ แล้วที่นี่ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากไปกว่าการดื่มชา เราว่าจริงๆ แล้วการได้อยู่เฉย ๆ ปล่อยตัวเองออกจากสิ่งที่มากระตุ้นเราบ้าง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดีที่เราได้คิด คิดถึงสิ่งที่ผ่านมา คิดถึงสิ่งที่เป็นอยู่ และคิดถึงถึงตัวเองในอนาคต แต่นั้นหละมันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยู่กับปัจจุบันหรอกนะ

เอาเข้าจริงๆ เหมือนได้มาบำบัดตัวเอง เราว่ามันช่วงเวลาที่เราได้พักที่นี่เหมือนกัน โลกข้างนอกวุ่นวายเกินกว่าเราจะได้ใคร่ครวญ หรือมานั่งคิดอะไร

2. ไปถ่ายรูปหมอกเช้าในใร่ชา

วู้วววววว .. เจ้าหมอกเต็มไปหมดเลย เรามองจากหน้าต่างห้องที่เปิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ลมหนาวพัดมารู้สึกดีชะมัด นานๆจะได้ตื่นเช้าแบบนี้ก็งัวเงียเป็นธรรมดาหละ แต่สุดท้ายก็คว้าเลื้อกันหนาวออกจากผ้าห่ม อู๊ววววววว ดีจัง หมอกหนามาก บางช่วงก็หนาจนไม่เห็นอะไรเลย เรานั่งรอดูจังหวะการเคลื่อนตัวของเจ้าเมฆก่อนหามุมเกร๋ ที่จะเก็บเป็นความทรงจำไว้ที่นี่

มันคือความทรงจำระหว่างสะถานที่กับตัวเรา

3. ไปดื่มชาออร์แกนิก

ชา ชา ชา ชาที่ปลูกที่นี่ปลูกมากว่า 20 ปีแล้วเป็นชาที่เกิดจากการนำชาจากต่างประเทศมาทดลองปลูกในพื้นที่ผ่านการให้ความรู้ของโครงการหลวง ซึ่งชาเป็นเครื่องดื่มที่มีคนดื่มกันทั่วโลกมากกว่ากาแฟเสียอีกนะ ถามยังช่วยระบบต่างๆของร่างกายอีกด้วย

การดื่มชานอกจากจะทำให้สดชื่นแล้วยังทำให้เรามีเวลาพอที่จะครุ่นคิดอีกด้วย การดื่มชาจึงเป็นการเรียนรู้จิตของตัวเองได้เลยหละ

มีคำกล่าวว่า “ดื่มชาให้รู้รสชา” หมายถึงว่า ไม่สำคัญว่าชานั้นจะเป็นอย่างไร แต่การเพิ่งจิตที่รสชา เพื่อรู้รสชาเป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง

4. ไปเรียนรู้เรื่องชา

ลุงตั้งใจอธิบายเราถึงเรื่องชาและประเภทของชาอย่างละเอียด ซึ่งหลายเรื่องที่เราเข้าใจผิด ลุงก็าเฉลยให้ที่นี่ นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้การแยกประเภทของชา อีกด้วย ซึ่งชาที่ปลูกที่นี่มี ชาอู่หลง 12, 17 ชาอัสสัม (Assam Tea)

ชานั้นมีชื่อเรียกที่ต่างกันตามวิธีการผลิตชา ไม่ได้ต่างกันที่สายพันธุ์ตามความเข้าใจคนทั่วไป …..

ชาอู่หลงก้านอ่อน 17 ให้กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้

ชาอู่หลง 12 (จินเซียนอู่หลง) ให้กลิ่นหอมสดชื่น แต่กลิ่นจะบางกว่าชาอู่หลงก้านอ่อน 17 ลักษณะใบจะใหญ่กว่าอู่หลงเบอร์ 17

ชาอัสสัม แรกเริ่มเดิมทีในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ต้นชาถูกจำกัดเฉพาะต้น Camellia sinensis var. sinensis หรือชาพันธุ์จีนที่พบได้ในเอเชียตะวันออกเท่านั้น ง่ายๆคือเป็นชาพื้นเมืองที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ในปี 1823 มีการค้นพบพันธุ์ชาชนิดใหม่โดยชาวอังกฤษชื่อ Robert Bruce ที่รัฐอัสสัม ก็เลยได้ชื่อแต่นั้นเป็นต้นมา เดิมเข้าใจว่าขยายพันธุ์ไม่ได้ขะต้องเป็นชาในธรรมชาติเท่านั้น แต่ลุงเดชขยายพันธุ์ได้จ้า ปลูกเต็มเลย ใบจะใหญ่กว่าชาอู่หลง

การเก็บจะเก็บเฉพาะยอดอ่อน(ยอดบนสุด)ที่ยังไม่บานเท่านั้น

การเก็บใบชาจะเก็บใบชายอดอ่อน 3 ใบเท่านั้น ยกเว้นชาอัสสัมที่จะเก็บเฉพาะยอดอ่อน (ใบที่ยังไม่บาน) เท่านั้น

ชาเชียว เก็บยอดอ่อน 3 ใบ เครื่องนวดใบชา แล้วเข้าสู่กระบวนการอบ

ชาดำ  เก็บยอดอ่อน 3 ใบ หมักไว้ 12 ชั่วโมง แล้วนำมาคั่วซึ่งจะคั่วนานกว่าชาแดง

ชาขาว เก็บยอดอ่อนแล้วผ่านสู่กระบวนการอบแห้ง

ชาอู่หลง เก็บยอดอ่อน 3 ใบ เข้าสู่เครื่องนวดใบชา ต้องใช้เวลาในการอบกว่า 38 ชั่วโมง สุดท้ายชาจะออกมาในลักษณะเป็นก้อน

ซึ่งสรรพคุณของชาและคุณสมบัติขึ้นอยู่กับวิธีการผลิต

5. ไปดูทะเลหมอก

ตื่นเช้ามาก็มีหมอกอยู่นอกหน้าต่างเลย เรียกได้ว่าไม่ต้องเดินไปไหนไหนหมอกก็โอบกอดเราไว้เลย

ไร่ของลุงไม่ได้มีที่มากมายพอจะรองรับนักท่องเที่ยวนะคะ แนะนำให้โทรไปสอบถามข้อมูลก่อนเดินทาง

---

เอาเข้าจริงที่พักที่เราพักลุงบอกว่าบ้าน A Frame 2 หลังที่เราเห็นเพิ่งสร้างมาได้ 2 ปีเอง แต่พอคนมาเที่ยวที่นี่มากขึ้นลุงเลยปรับเป็นห้องพัก แถมยังมีที่สำหรับกางเต็นท์อีกด้วย แต่ที่พักก็ไม่ได้รองรับการไปพักสำหรับคนเยอะมากไปกว่าสิบกว่าคน ที่นอนอาจไม่พอ ดังนั้นถ้าจะไปพักแนะนำให้โทรจองก่อน ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวมนะจ๊แยกจากตัวอาคารที่พัก

เต็นท์พร้อมเครื่องนอน 250 บาท/หลัง

บ้านพัก A frame 2 หลังราคาหลังละ 500 บาท/หลัง

ห้องพักห้องใหญ่ 2 ห้อง นอนได้ 4 คน 500 บาท/ห้อง

ห้องพักห้องเล็ก 2 ห้อง นอนได้ 2 คน 500 บาท/ห้อง

---

กางเต็นท์ กางเต็นท์ เชียงใหม่ จองที่พัก ชาอัสสัม ชาอู่หลง ที่พัก ที่พักเชียงใหม่ อ.แม่แตง ไร่ชาลุงเดช ไร่ชาลุงเดช เชียงใหม่ ไร่ลุงเดช