แม้จะเหลือกันอีก 1 เดือนเต็มๆ ก็จะถึงเทศกาลน้ำสาดน้ำแห่งชาติ แต่ผมขออนุญาตสอยเรื่องนี้ก่อนกำหนด เพื่อเอามาถกเป็นประเด็นกันก่อนนะครับผมสังเกตพบว่าปัญหาโลกแตกของชาติไทยในช่วงสงกรานต์ไม่ว่าจะปีไหนๆ นอกจากอุบัติเหตุคร่าชีวิตนับหลายร้อยพันคนต่อปี ยังมีอีกเรื่องนึงคือ ความผิดเพี้ยนในการเล่นเทศกาลสงกรานต์ที่มันแตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิงจะบอกว่า “การเปลี่ยนแปลงคือนิรันดร์” ก็คงใช่ไม่น้อย แต่ถ้ามันเปลี่ยนไปในทางที่แย่นี่ซิ ต้องหันกลับมาคิดกันอีกรอบแล้ว
การเล่นน้ำที่ออกแนวซาดิสต์ ปานหนังแอคชั่น การดีดดิ้นอย่างเมามันส์ของสาวน้อยใหญ่ ส่ายไปมากับจังหวะเสียงเพลงเทคโนแดนซ์ ที่ดังกระหึ่มตามถนนริมทางนอกจากนี้ ก็ยังมีการลงลืมความสำคัญกันในวันสงกรานต์กันอีกด้วย บางคนเล่นน้ำมา 3-4 วัน วัดยังไม่เคยเข้าไปสรงน้ำพระ หรือรดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่เลยเอาล่ะในเมื่อพูดถึงปัญหาโดยรวมแล้ว คราวนี้มาเจาะจงเชียงใหม่ของเราบ้าง
เชียงใหม่เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของไทย ที่จัดสงกรานต์เล่นได้สนุกครึกครื้นกันทุกปี และก็ไม่เว้นเช่นเดียวกันที่หลายๆอย่างมันเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา ทำให้สงกรานต์ผิดรูปผิดรอย ยิ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะๆแบบนี้ โดยเฉพาะชาวจีนที่พร้อมจะแห่มาถล่มเที่ยวกันที่นี้ช่วงหน้าร้อน เราในฐานะคนไทย ก็ต้องหันมาใส่ใจดูแลกันบ้าง อะไรของไทยๆก็อยากให้ชาวบ้านที่อื่นเขาประทับใจจอร์ช
จากคำบอกเล่าของ นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะคนที่ต้องดูแลเรื่องเหล่านี้ เปิดเผยโดยมีใจความสำคัญว่า อยากให้ประเพณีสงกรานต์ที่จัดขึ้นในทุกภูมิภาคของไทย รื้อฟื้นรากวัฒนธรรมดั้งเดิมของการเล่นสงกรานต์ ซึ่งก็ไล่ไปตั้งแต่ความหมาย ตำนาน การละเล่น อาหารวิถีชีวิต และความเป็นมาของวัฒนธรรม โดยทั้งหมดก็เพื่ออนุรักษ์ไว้เป็นมรดกของชาติและดำเนินการดึงความเป็นเอกลักษณ์ของของประเพณีให้กลับคืนมา ขณะเดียวกันกระทรวงวัฒนธรรมก็จะยกระดับประเพณีสงกรานต์ของจังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นเทศกาลระดับนานาชาติให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น
แล้วเราล่ะในฐานะคนไทยคนนึงที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินขวานทอง ต้องการให้สงกรานต์เชียงใหม่ปีนี้ออกมาในรูปแบบไหน?จะเน้นเอามันส์โดยไม่สนใจอะไรเหมือนทุกปี หรือจะเน้นรักษาวัฒนธรรมดีๆ ควบคู่ไปกับความสนุกสนาน ซึ่งตัวเลือกทั้งสองทางก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแต่ละคนแล้วว่า คุณจะอยากให้เป็นเช่นไรเพราะทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป ก็ต้องเริ่มที่ตัวคุณก่อนใครเสมอ เมื่อทุกคนคิดได้แบบนี้ ต่อให้ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมสมัยไหนมาปลุกระดมโครงการ ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันก็จะดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน อยากให้โลกเปลี่ยน ก็ต้องเริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราเองก่อนใครเพื่อนครับ