จากบันทึกประวัติศาสตร์ของท่านเซอร์ แดนนี่ วิลเลี่ยม ที่เคยบันทึกเอาไว้ว่า “สงกรานต์เมืองไทย สนุกมากมายจริงๆ” (ประโยคนี้ถ้าอ่านออกเสียงแบบพูดไทยไม่ชัดจะได้อารมณ์มาก) ประกอบกับบันทึกการเดินทางของนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่อย่างมาร์โคโปโล ก็ได้ระบุเอาไว้ในตอนหนึ่งว่า “ ข้าพเจ้าได้พบเห็นประเพณีสาดน้ำสุดม่วนที่ดินแดนสยามตอนเหนือ และมีสิ่งประหลาดที่สะดุดตาข้าพเจ้า ตั้งแต่แวบแรกอยู่ 8 อย่าง ซึ่งเป็นการสืบต่อกันรุ่นต่อรุ่น และเป็นสิ่งประหลาดที่ประหล้าด ประหลาดจริงๆ”
อ่านถึงตรงนี้อย่าเพิ่งอกสั่นขวัญหายหรือตกใจจนอกกระเพื่อมไปตามๆกัน เพราะรีวิวเชียงใหม่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้ เราจึงเสาะหาบันทึกประวัติสาสตร์หน้านั้นและได้ส่งต่อไปให้ฝ่ายต่างประเทศของเรา ได้ทำการจัดแปลและเรียบเรียงก่อนจะส่งผ่านให้ทีมงานฝ่ายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเรา ตรวจแก้และเรียบเรียงอีกที ก่อนจะนำสิ่งประหลาดทั้งแปดนี้มาเผยแพร่ ซึ่งมีทั้งหมดดังนี้
8 ประหลาด ประจำมหา สงกรานต์ เชียงใหม่
1. ดรั้งเกอร์แมน
มาร์โคโปโลบอกว่า เขาสังเกตุเห็น ว่า หลังการทำบุญตามประเพณีในช่วงเช้าตกสายๆหน่อย ผู้คนที่เล่นน้ำกันส่วนใหญ่ จะพากันตาแดงกร่ำ ขณะเล่นสาดน้ำ ราวกับผ่านการร้องไห้หนักมากมาหมาดๆ ทั้งที่ในช่วงสนุกสนานเเบบนี้ไม่มีน่ามีใครร้องไห้หนักมาก หรืออาจจะเป็นเพราะแพ้น้ำที่ใช้สาดกัน แต่ก็มีข้อมูลยืนยันว่า น้ำในคูเมืองสะอาดปลอดเชื้อเล่นได้สบายใจ (นายกเทศมนตรีกล่าว) แล้วทำไมถึงได้ตาแดงและพากันส่ายยพร้อมเพรียงได้ถึงขนาดนั้น? และสุดท้ายจึงค้นพบว่าไม่ได้เป็นเพราะน้ำที่สาดเข้าตา แต่เป็นน้ำที่ดื่มเข้าตับมากกว่า เพราะเทศกาลหนุกๆแบบนี้การเสพสุราฮะเก๋าเป็นที่ครื้นเครง ถือเป็นเรื่องปกติมากในเมืองสยาม และจึงเป็นที่มาของบรรดา ดรั้งเกอร์แมน ที่เดินส่ายเพราะเมาที่เราคุ้นตา จนเรียกว่าไม่มีสงกรานต์ปีไหนที่เราไม่ได้เห็นคนเมา
2. มนุษย์พุ่มพวง
อันนี้เราต้องพิสูจน์กันหลายรอบว่ามาร์โคโปโลพูดถึงอะไร ทีแรกอาจเป็นเพราะเพลงลูกทุ่งของพุ่มพวงดวงจันทร์ ที่นิยมเอามาเปิดไว้ดิ้นกันในช่วงสงกรานต์หรือเปล่าซึ่งฝ่ายต่างประเทศและฝ่ายประวัติศาสตร์ของเราก็บอกว่าใช่ ก่อนจะพากันกุมขมับ และอธิบายคำว่าพุ่มพวงต่อไป พวกเขาบอกว่า มนุษย์พุ่มพวง เป็นผู้หญิงสวยแต่งหน้าทาปาก แต่งตัวเปิดเปลือยโชว์ส่วนโค้งเว้าอยู่ตามคูเมือง บางนางอาจดีดดิ้นอยู่บนถัง หรือท้ายรถกระบะ โชว์อวัยวะและลีลาต่างๆดึงดูดเพศตรงข้าม แต่ปัญหาคือ สาวสวยเหล่านี้นอกจากเต้นจนอกส่าย พวกเธอก็ยังมีพุ่มพวงไว้ส่ายโชว์ด้วย มาร์โคโปโลจึงรู้ว่าพวกเธอเหล่านี้ไม่ใช่สุภาพสตรี แต่เป็นสุภาพบุรุษที่มีลักษณะสุภาพสตรีแต่มีพุ่มพวง หรืออาจเรียกขานกันว่า เป็นชมรมแม่บ้านมีเดือย ก็ไม่ผิดนัก
3. เทพบุตรหรือเทพีสงกรานต์ ผู้สถาปนาตัวเอง
อันนี้จะมีทุกปีจากหลักฐาน อาจเป็นชาวต่างชาติที่นุ่งเตี่ยวตัวเดียวเพ่นพ่านหรือเป็นสุภาพสตรีโชว์ของสงวน หรือเป็นประเภทไม่สังกัดเพศใดเพศหนึ่งโดยเฉพาะ ที่มีอะไรมาโชว์ในบริเวณคูเมืองด้านใน จนเป็นที่สนใจในแต่ละปีโดยดูจากการที่สื่อมวลชนจะสนใจไปที่ตัวเขาทุกช่องทุกสถานี และจบลงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเชิญเขาไป เปล่าไม่ได้ไปรับรางวัลแต่ไปเสียค่าปรับ แต่ถึงกระนั้นเขาก็จะกลายเป็นความสนใจของคนที่เล่นสงกรานต์ละแวกคูเมืองด้านในแน่นอน
4. ชาวเอเชียผมทอง
เรื่องนี้ถึงกับทำให้มาร์โคโปโลต้องเบิ่งตาอยู่หลายครั้งเพราะเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมชาวเอเซียที่มาเล่นสงกรานต์ถึงได้กลายพันธุ์มีผมสีทองกันได้เฉพาะในเทศกาลสงกรานต์ ที่แรกเขาสงสัยว่าอาจเป็นการกลายพันธุ์ชั่วคราว เพราะเขาจะเห็นชาวสยามและชาวเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต่างมีผมสีทองอร่ามในช่วงกรานต์ราวกับเป็นการกลายพันธุ์ชั่วคราว หรือติดเชื้ออะไรสักอย่าง ซึ่งหลังจากที่เขาเดินทางกลับไปแล้ว ในอีกหลายปีให้หลังชาวสยามและวัยรุ่นในประเทศเพื่อนบ้านแถบๆนี้ ก็ยังมีผมสีทองอร่ามในช่วงสงกรานต์กันต่อมา จนถึงปัจจุบัน
5. ประเพณีสตรีทไฟเตอร์
ทีแรกมาร์โคโปโลเข้าใจว่า ชาวสยามเป็นนักสู้และมีจิตใจเหี้ยมหาญเพราะอาจมีประวัติศาสตร์การต่อสู้ปกป้องดินแดนกันมายาวนาน และเมื่อข้าศึกภายนอกเงียบสงบ มีแต่สงครามการต่อสู้ที่นิยมใช้เงินและสติปัญญามากกว่ากำลัง ชาวสยามบางกลุ่มจึงรู้สึกรุ่มร้อนที่ไม่ได้ต่อสู้อะไรกับใคร พวกเขาจึงหาทางออกให้กับต่อมการต่อสู้ของตัวเองที่สูบฉีดแต่ไม่มีทางระบายด้วยการหันหน้ามาต่อสู้ ต่อยตีกันเองในช่วงเทศกาลทั้งลอยกระทงหรือในวันสงกรานต์ เหตุเพราะวันปกติต้องมาหากินตีกันไปก็ไม่มีใครสนใจ ไม่สนุก สู้ตีกันช่วงเทศกาลไม่ได้ คนเยอะดี ซึ่งบางทีนักสู้เหล่านี้ก็มักจะหลงลืมไปว่า ช่วงเทศกาลนอกจากจะมีผู้ชมเยอะแล้ว ยังมีบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจเยอะตามผู้คนไปด้วย และฉากสุดท้ายของการต่อสู้ในทุกเทศกาลก็มักจะจบลงที่โรงพักเสมอ แต่ทำไงได้ล่ะ “ก็เลือดมันร้อน ฮอร์โมนนักสู้นี่หว่า พี่แม่งไม่เข้าใจผมเลย” จิ๊กโก๋ ที่เตรียมตัวไปเปิดศึกละเเวกคูเมืองในช่วงวันสงกรานต์คนหนึ่งกล่าว
6. ผู้สาวนุ่งเตี่ยว
สันนิษฐานแรก เข้าใจว่าจะมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่นุ่งเตี่ยวสั้นเพื่อการทำงานหรือในการศึกตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หากแต่ยังมีอิสตรีที่นิยมนุ่งเตี่ยวสั้นเหมือนกันในวันสงกรานต์ แต่เตี่ยวของพวกนานเป็นเป็นเตี่ยวยีนส์ร่วมสมัยตำรับลีไวน์ เสตร๊าส์ แต่ก็ยังรักษาวัฒนธรรมเอาไว้ด้วยการคาดผ้าแทบเพียงผืนเดียวกันแบบสืบเนื่องจนกลายเป็นชุดแต่งกายประจำในวันสงกรานต์ ซึงอันนี้มาร์โคโปโลก้ไม่ได้สงสัยแต่ใคร่รู้มากกว่า เพราะเขาบอกว่าเห็นผู้สาวแต่งตัวแบบนี้ก็กรุบกริบดีไม่ใช่น้อย
7. อาวุธล้ำๆในวันสงกรานต์
ดังที่รู้กันมาตลอดว่าชาวสยามไม่ได้ผลิตอาวุธใช้เอง เพราะต้องซื้อปืนใหญ่มาจากที่อื่น และปัจจุบันเราก็ยังต้องซื้ออาวุธมาจากที่อื่นอยู่ดี แต่ชาวสยามกลับมีความคิดและฝีมือในการผลิตปืนฉีดน้ำใช้เอง และเป็นปืนฉีดน้ำที่ดูล้ำเลิศและวิเศษมากมายมหาศาลทั้งปืนเล็กยาว หนัก เบา บรรจุน้ำได้หลายประเภทแถมยังมีการพัฒนาให้ดูล้ำเลิศประเสริฐเป็นสุดยอดวิวัฒนาการขึ้นไปทุกปี
ก็ไม่เป็นไรถ้าคิดค้นหลอดไฟไม่ได้ สร้างอาวุธอื่นไม่ได้แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีนวัตกรรมปืนฉีดน้ำที่เจ๋งและรุนแรงเหมาะแก่การเอามายิงเล่นกันที่ล้ำเลิศประเสริฐขึ้นไปทุกปีๆ
8. ระบบเศรษฐกิจ ที่สุดแสนจะเฟื่องฟู
ถึงชาวสยามจะไม่ใช่กลุ่มชนที่มีหัวทางการค้าแบบชาวจีน แต่ในช่วงสงกรานต์ชาวสยามจะมีหัวการค้าขึ้นมาทันที (อันนี้คงมาพร้อมๆกับหัวทอง) เพราะการค้าขายโดยชาวสยามตอนเหนือในเชียงใหม่ จะขึ้นราคาพุ่งพรวดกันตั้งแต่น้ำดื่ม ที่พัก อาหาร และกระทั่งค่ารถโดยสาร เรียกว่าผ่านสงกรานต์ไปเศรษฐีใหม่เกิดได้ทันที ยกตัวอย่างน้ำดื่มขวดละ 15 บาท ข้าวไข่เจียวกล่องละ 50 บาท แต่กล่าวสำหรับเรื่องนี้มาร์โคโปโลสันนิษฐานว่าเพราะชาวสยามมีใจให้อภัยและเผื่อแผ่จึงไม่โกรธเคืองการขึ้นราคาแบบนี้กันตามลักษณะของชาวนครไม่เป็นไร คือช่างมันเถอะ ไม่เป็นไรหรอกของแค่นี้ ไม่รวยก็ไม่ต้องมาเที่ยวหรอก นอนอยู่บ้านเถอะถ้าไม่อยากเสียตังค์ (อันนี้เรากล่าวเองลอยๆ)
ปล. 1 เข้าใจว่าคงไม่ต้องสารภาพนะว่าเรื่องทั้งหมดเรายกเมฆขึ้นเอง
ปล. 2 มาร์โคโปโล เคยมาเล่นสงกรานต์คูเมืองหรือเปล่าเราก็ไม่รู้
ปล. 3 เราทำเว็บเรื่องอาหารการกินและที่เที่ยวที่พัก คงไม่มานั่งจ้างฝ่ายสืบหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์กันให้เมื่อยตุ้ม
ปล. 5 สุขสันต์วันสงกรานต์ปีใหม่เมืองทุกคนครับ อันนี้จากใจเจ๋งเอง
ปล. 6 ไม่ต้องตกใจเจ๋งลืมใส่ปล. 4 แต่พอเถอะไม่งั้นคงตองลากกันไปถึง ปล. 44 แน่!