ใครจะไปนึกล่ะครับว่า ตรงอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ในยามหน้าร้อนแบบนี้ จะมีอะไรที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมากันแถวนั้นแถมสิ่งที่กระชากหัวใจนักท่องเที่ยว ก็ดูจะถูกช่วงเวลากันอีกซะด้วย เข้าทำนองประมาณว่า รอปล่อยให้ชาวบ้านปล่อยของเสร็จ แล้วเราจะปล่อยหมัดเด็ดน็อกครั้งเดียวเลย
หมัดเด็ดน็อกประเภทโป้งเดียวจอดที่ว่านั้นคือ ความงามสะพรั่งของดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ ออกดอกสีชมพูสวยเด่นตระการตาท้าลมร้อนบริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ กลางเมืองเชียงใหม่บางคนขับรถผ่านมองไกลๆ นึกว่าดอกซากุระญี่ปุ่นกันด้วยซ้ำ!แต่สำหรับผมแม้ไม่ได้จบทางด้านพืชพรรณไม้งามอะไรมา ก็พอจะรู้ว่าไม่ใช่ซากุระญี่ปุ่น หรือนางพญาเสือโคร่งแน่ๆ ทั้งจากลำต้น ในช่วงเวลาออกดอกก็ซากุระญี่ปุ่นหรือนางพญาเสือโคร่งที่ไหนจะมาผลิดอกเอาตอนนี้กันเล่า?
ชมพูพันธุ์ทิพย์ ตอนแรกๆผมก็ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามหรอกครับ ตอนเดินไปเก็บภาพมา ถามไถ่ลุงกวาดถนนแกบอกว่า ดอกพวงชมพู เราก็นะ พวงชมพูก็พวงชมพูกลับถึงห้องเปิดคอม ถามอาจารย์กูเกิ้ลปรากฏว่า มันไม่ใช่นะครับจากพวงชมพูเพิ่งมารู้เอาที่หลังจากแฟนเพจ ททท.เชียงใหม่ว่า มันคือ ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ ต่างหากเล่า
ไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง สูงราว 8-12 เมตร ใบเป็นแบบผสม มีใบย่อย 5 ใบบนต้นเดียวกัน แผ่ออกคล้ายใบปาล์ม ผิวไม่เรียบ ปลายใบแหลม ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร กิ่งก้านสาขาแผ่ออกเป็นพุ่มค่อนข้างแน่น ชมพูพันธุ์ทิพย์ ใบแก่จะะทิ้งใบในฤดูหนาว ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม หลังจากนั้นจะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน
โดยดอกจะออกเป็นช่อตามกิ่งก้าน ช่อละ 5-8 ดอก ดอกย่อยลักษณะคล้ายดอกผักบุ้งหรือปากแตร คือโคนดอกเป็นหลอดยาวปลายดอกบานออกเป็น 5 กลีบ กลีบดอกบาง ย่นเป็นจีบๆ และร่วงหล่นง่าย สีของกลีบดอกปกติเป็นสีชมพูสดใส แต่มีความเข้มและจางแตกต่างกันไป โดยเฉพาะต้นที่เกิดจากเมล็ดจะมีความผันแปรมากมาย ตั้งแต่สีชมพูจางเกือบขาวไปจนถึงสีเข้มเกือบเป็นสีม่วงแดง และเมื่อดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงหล่นแล้ว จะติดฝักรูปร่างคล้ายมวนบุหรี่ การขยายพันธ์ ก็อาศัยการเพาะเมล็ดหรือการตอนกิ่งกันเอา
สำหรับต้นกำเนิดดั้งเดิมของชมพูพันธุ์ทิพย์นั้น อยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ ต่อมาได้ถูกนำไปปลูกในเขตร้อนทวีปต่างๆ อย่างแพร่หลายรวมทั้งประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยคนที่นำมันมาเข้าประเทศครั้งแรกคือ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต และ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร และเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเข้าจึงพากันตั้งชื่อให้มันว่า “ชมพูพันธุ์ทิพย์” ซึ่งชื่อเดิมๆของมันคือ ตาเบบูย่านอกจากจะสวยงามแล้ว ประโยชน์ทางสมุนไพรก็ยังมี ใบเอาไว้ใช้ต้มแก้เจ็บท้อง ท้องเสีย หรือตำให้ละเอียดใส่แผลก็ยังได้ครบเครื่องกันซะขนาดนี้ ถ้าเปรียบชมพูพันธุ์ทิพย์กับผู้หญิงแล้วคงต้องว่า “เก่ง สวย รวย และฉลาด”ว่าแต่ตอนนี้ผมหลงรักพวกมันเข้าให้แล้ว เผลอๆอาจจะมากกว่าซากุระญี่ปุ่นและนางพญาเสือโคร่งด้วยซ้ำ ในฐานะที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนแบบบ้านเรา
ปล.ใครอยากเห็นความงามสามารถแวะไปดู ถ่ายรูปกันได้ แถวอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ไปกันช่วงเย็นๆอากาศน่าจะเหมาะสุดๆครับ