ขาดเหลืออะไรในชีวิตประจำวัน ตลาดทิพย์เนตร คือที่แรกผมนึกถึงก่อนอื่นใคร
แก้ว ถ้วย ชาม มีดโกน ตะกร้า กะละมัง แปรงซักผ้า หวี ไม้กวาด ผ้าเช็ดเท้า และอีกสารพัดอย่าง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เท่าที่ทางร้านจะหามาขายได้
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆครับ มีครบกันทุกอย่าง ถ้าให้เปรียบไป นี่ก็คงไม่ต่างอะไรจากห้างสรรพสินค้าหย่อมๆในนามแบบฉบับบ้านๆร้านตลาดทั่วไป ใครขาดเหลืออะไรสามารถเดินเข้าไปเลือกหากันได้เลยตามสบาย
ด้วยขนาดพื้นที่ของร้านมันกว้างขวาง การจะหาอะไรซักอย่างที่เราต้องการเลยค่อนข้างจะลำบากกันซักเล็กน้อย อย่างกรณีผมต้องการมีดโกนเอาไว้กำจัดความเถื่อนและรกรุงรังบนใบหน้า ก็ต้องค่อยๆตระเวนเดินเลียบเลาะหา หรือยืนกวาดสายตาเพ่งก่อนว่า มันควรจะอยู่โซนไหนในนั้น
แต่ถ้าใครขี้เกียจหา ก็เดินสับตีนเข้าไปถามเจ้าของร้านหรือพนักงานแถวนั้นเอาได้เลย ว่าของที่เราต้องการอยู่ตรงไหน
หมดจากปัญหาในการหาของ ปัญหาจุกจิกอีกอย่างที่น่ารำคาญคือ ราคาสินค้าครับ เพราะ ของส่วนใหญ่ร้านนี้มักไม่ติดป้ายราคา ซึ่งก็เดือดร้อนถึงลูกค้า ต้องเดินไปถามกันอีกรอบว่าชิ้นนี้เท่าไหร่คะ ตัวนี้เท่าไหร่ครับ
สำหรับใครที่เป็นภูมิแพ้ หรือรังเกียจฝุ่นยิ่งกว่าเห็นตัวเหี้ย อาจจะไม่เหมาะกับคุณร้านนี้ แต่ที่ส่วนใหญ่ชาวบ้านเขามาซื้อของก็เพราะของมีเยอะสารพัดอย่าง แถมราคาถูกอีกต่างหาก
เอาเท่าที่ผมจำได้และสามารถจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ก็จะเป็น ของเล่นเด็ก เครื่องใช้ในครัวเรือน อุปกรณ์การช่าง อุปกรณ์เครื่องเขียน ภาพ กรอบรูป เครื่องสำอางค์ ที่นอน หมอน มุ้ง เครื่องตกแต่งบ้าน เสื้อผ้า รองเท้า โอยยยย เรียกว่าเยอะแบบบรรลัย ใครเดินเข้าไปในนั้นแล้ว อย่างน้อยๆก็ต้องมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านซัก 2-3 ชิ้นแหละ
เสน่ห์อีกอย่างนึงที่น่าหลงใหลของร้านพวกนี้ คือ ความสะดวกในแบบบ้านๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรเยอะ เหมือนห้างสรรพสินค้า ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพ นี่ก็คือร้านขายของชำในเลเวลที่ใหญ่ขึ้น
ในขณะที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆก็เริ่มผุดขึ้นเรื่อยๆตามชนบทและในเมือง ร้านขายของเหล่านี้ในอนาคตก็คงเป็นตัวแทนของชนวิถีรุ่นหลังในแบบฉบับเก่า ที่ค่อยๆเหลือน้อยลงไปทุกที จนอาจจะไม่มีเหลือให้ใช้บริการก็เป็นไปได้ ใครจะไปรู้
สุดท้ายก็อยู่ที่คุณว่าจะเลือกชอบแบบไหน จะเดินห้างตากแอร์เย็นๆซื้อของ หรือจะยอมสูดกลิ่นฝุ่นเลือกของ ในสภาพอากาศอันร้อนอบอ้าว แต่ราคาแสนคุ้มกับคุณภาพ ท่ามกลางของใช้นับแสนชิ้น