อันที่จริงแล้ว “โรงเตี๊ยม” นั่นก็คือโรงแรมพักพิงของนักเดินทาง พ่อค้า บัณฑิต และคนทั่วไป นอกจากที่พักแล้วยังให้บริการอาหาร เครื่องดื่ม และ…เอิ่ม…เอาน่า เดาได้ไม่ยากดอก รู้ๆกันอยู่ ซึ่งเรียกได้ว่าครบวงจรเลยทีเดียว แล้วยังเป็นสถานที่ให้ผู้คนนัดพบปะสังสรรค์กัน ภายหลังจากการตรากตรำกรำงานหนักมา ระหว่างที่รอมิตรสหาย จะสั่งอาหารมารับประทานรอก็กระไรอยู่ จะจิบน้ำชารอเฉยๆ เสี่ยวเอ้อหรือบริกรผู้ให้บริการคงไม่ต้อนรับขับสู้ ผู้มาก่อนเวลาเหล่านั้นจึงได้ให้เสี่ยวเอ้อทำ “ของทานเล่น” คู่กับน้ำชา ที่พอจะเรียกน้ำย่อยก็มิตรสหายจะเดินทางมาพร้อมหน้าแล้วสั่งอาหารมาทานร่วมกัน จึงถือกำเนิดเกิดเป็นวัฒนธรรมการกินของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่รู้จักกันดีในนาม “ติ่มซำ”
“ติ่มซำ” เป็นภาษาจีนท้องถิ่นแถบมณฑลกวางตุ้ง อ่านในภาษาจีนกลางได้ว่า “เตียนสิน” มีความหมายประมาณว่า “สัมผัสด้วยใจ” กำกวมอยู่ระหว่างอาหารที่ทำตามใจอยากและอาหารที่ทำด้วยใจ โดยอันแรกน่าจะเข้าเค้าใกล้เคียง เนื่องด้วยติ่มซำในยุคแรก เหมือนโยนหินถามทาง นำวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารมาผสมปนเปเกิดเป็นอาหารทานเล่นขนาดพอดีคำ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ใช้การ “นึ่ง” พัฒนารูปแบบเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ในรูปแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เช่น ซาลาเปา, ขนมจีบ, ฮะเก๋า ฯลฯ แต่ในความหมายที่สองช่างลึกซึ้งตรึงใจยิ่งนัก โดยกล่าวว่าอาหารทานเล่นในแต่ละคำนั้นล้วนทำออกมาจากใจ แม้จะเป็นเพียงแค่คำเล็กๆ แต่รวมเอาความตั้งใจและรสอร่อยอัดแน่นรวมอยู่ภายในรอไปแตกประทุบนชิวหาพาเพลิดเพลิน
ณ กรุงนพบุรีศรีนครพิงค์ ที่ปัจจุบันเป็นเมืองอุโฆษในสากลโลกนามว่าเชียงใหม่ ยังมีร้านติ่มซำอยู่ร้านหนึ่งที่โด่งดังพอสมควร หากมีโอกาสคราใดได้แวะเวียนผ่านไปแถวนั้น มิเคยลืมจะแวะนั่งพักจิบน้ำชาลิ้มติ่มซำอยู่เป็นนิจ หากท่านมีโอกาสได้เดินทางไปบริเวณถนนช้างคลานย่านธุรกิจดังในเมืองเชียงใหม่ อยากให้ท่านทั้งหลายไปลองลิ้มชิมรส ณ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ (ไม่มีที่พักนะ) มีนามกรว่า “เต้ยติ่มซำ”
ร้าน “เต้ยติ่มซำ” ตั้งอยู่บนถนนสายกำแพงดิน อยู่ไม่ไกลจากร้านหนังสือสุริยวงศ์และโรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิงมากนัก เป็นเส้นทางสายที่สามารถทะลุไปวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่และกาดประตูก้อมได้ อยู่ถัดจากร้านขายไก่ทอดที่เปิดเฉพาะยามวิกาล ที่คนจากเมืองหลวงของสยามประเทศ ต่างพากันแซ่ซ้องว่าอร่อยที่สุด อร่อยทะลุมิติ อร่อยไร้เทียมทาน ถ้าใครมาเชียงใหม่แล้วไม่ได้กิน แสดงว่ายังมาไม่ถึง ทั้งๆที่คนเชียงใหม่อย่างข้าพเจ้าที่อาศัยมาเกือบสามสิบปีและครอบครัว ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าย่ำแย่เกินกว่าจะเป็นอาหารสุกร ประมาณว่าผสมข้าวหุงสุกหอมกรุ่นให้สุนัขที่บ้านทาน สุนัขที่บ้านเลือกที่จะหนีออกไปเลียอุจจาระสุนัขข้างบ้านเสียอีก
เอาล่ะ!!! กลับสู่โลกความเป็นจริง ขอวนกลับเข้าร้าน “เต้ยติ่มซำ” ก่อนที่จะออกนอกยุทธภพไปไกลถึงไนจีเรีย ร้านมีลักษณะเป็นตึกแถวสามคูหาติดกัน มีตู้กระจกให้เลือกติ่มซำอยู่ด้านหน้าร้าน ให้บริการติ่มซำเลิศรสหลากหลาย พร้อมทั้งเครื่องดื่มและของหวานให้เลือกอีกมากมาย เปิดให้บริการตั้งแต่สิบนาฬิกาตามเวลาประเทศไทย สามารถเทียบเวลาได้ตามสถานีวิทยุกระจายเสียงได้ทั่วไป จนถึงช่วงค่ำยี่สิบสองนาฬิกาหรือจนกว่าของจะหมด
ตู้กระจกหน้าร้านมีติ่มซำให้เลือกสรรค์อยู่มากมาย รอให้ท่านเลือกแล้วจะพาไปสบายตัว เอ้ย…สบายท้อง ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แรกเริ่มมาถึงร้าน ท่านก็ไปเมียงมองลองจิ้มติ่มซำที่ท่านอยากท่านแล้วก็ไปนั่งรอที่โต๊ะ ที่นี่เน้นการให้บริการตนเอง ทั้งน้ำดื่ม น้ำชา ผักสด กระเทียมเจียวที่สามารถเติมได้เรื่อยๆ ซอสที่วางอยู่บนโต๊ะก็จะมีซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่ว), ซีอิ๊วขาว และซอสพริก ให้ท่านได้ผสมผสานตามสูตรลับเฉพาะตัวของแต่ละคน ให้ทานคู่ติ่มซำได้อร่อยเอร็ดเด็ดดวง
หลังจากผสมน้ำจิ้มสูตรลับเฉพาะเรียบร้อย ยังไม่ทันได้จิบน้ำชา พนักงานก็นำเอาติ่มซำที่เราเลือกมาวางเรียงรายเฉิดฉายอยู่บนโต๊ะ แต่ละเข่งควัยฉุยส่งกลิ่นหอมคลุ้ง ขนลุกชูชัน อยากยัดทั้งหมดตรงหน้าเข้าไปพร้อมกันเลยทีเดียว ติ่มซำที่ข้าพเจ้าเลือกมานั้น มักจะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบและทานอยู่เป็นประจำ หลังจากที่ลองมาแล้วเกือบทุกอย่างของร้านแห่งนี้
“เบค่อนพันกุ้ง” เป็นสิ่งแรกที่ข้าพเจ้ามักจะเลือกเสมอ แม้จะชิ้นใหญ่ ทานยาก (สำหรับคุณผู้หญิง) ก็ตาม แต่ความเข้ากันได้ดีระหว่างเนื้อติดไขมันและกุ้งสับช่างเข้ากันได้ดีเยี่ยม ผสานตัวพระนางเปรียบดั่งเช่น “ก๊วยเจ๋ง” และ “อึ้งย้ง” ในนิยายอมตะของกิมย้ง ที่รู้จักกันดีในนาม “มังกรหยก” นอกจากนี้ยังมีความหวานของแครอทและความหอมของผักขึ้นช่ายซ่อนอยู่ภายใน ทานแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ทานเท่าไหร่ไม่มีเบื่อ แนะนำให้กินคำเดียวไปเลย จะได้อรรถรสในการรับประทานยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเหมือนเรากลืนกินแล้วเข้าไประเบิดความอร่อยในปากเลยทีเดียว
จานต่อมาที่เป็นที่นิยมในหมูลูกค้า นั่นคือ “เกี๊ยวกุ้ง” ดูลักษณะแล้วเหมือน “ฝันโก๋” ที่เปรียบเสมือนพี่น้องท้องเดียวกันกับ “ฮะเก๋า” โดยใช้เนื้อแป้งเดียวกับฮะเก๋าที่ขึ้นชื่อทำยากอีกด้วย กินกับน้ำจิ้มและกระเทียมเจียว แกล้มผักสด ช่างเพลิดเพลินชิวหายิ่งนัก แป้งเนียนนุ่มแล้วยังซึมซับเอาน้ำซุปที่ไหลออกมาจากภายในได้อย่างลงตัว เนื้อกุ้งภายในอัดแน่น เคี้ยวเพลิน ได้ถึงรสชาติกุ้งจริงๆว่ายวนเวียนอยู่ในปากก่อนจะไหลลงลำไส้ไปอย่างเปี่ยมสุข
อีกจานคือ “ซี่โครงหมูตุ๋น” อันนี้ต้องลุ้นหน่อย เพราะเขาไม่ได้ทำออกมาทุกวัน ถ้าเผอิญเทพีแห่งโชคชะตาเข้าข้าง ข้าพเจ้าจะจัดอย่างต่ำสามเข่ง เป็นซี่โครงหมูตุ๋นในน้ำแกงข้ามคืน จนน้ำซุปซึมซับเข้าไปในทุกอณุของเนื้อหมู จนเปื่อยยุ่ยสามารถละลายในปากได้โดยไม่เคี้ยวเลยทีเดียว
บางทีคนเราก็มองหาความสุขกันไปทั่ว โดยลืมไปว่าความสุขนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรือปริมาณ อาหารทานเล่นชิ้นเล็กในเข่งขนาดหนึ่งฝ่ามือก็สามารถสร้างความอิ่มเอมใจให้เราได้เช่นกัน หากเราพยายามมองสิ่งรอบตัวเราด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส เราจะพบว่าความสุขนั้นอยู่ไม่ไกลเราเลย แค่จับตะเกียบแล้วคีบเข้าปากก็ทะยานสู่สวรรค์ชั้นฟ้าได้แล้ว หากได้มาลองเพียงครั้ง คุณจะรู้สึกคล้ายกับนั่งบัลลังก์มหาจักรพรรดิในโรงเตี๊ยมข้างทางเลยทีเดียว
เอวังก็มีประการฉะนี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.toeydimsum.com