เมื่อลมหนาวพัดมาเชียงใหม่ จู่ๆ เราก็นึกถึงรถไฟขึ้นมา ไปนั่งรถไฟให้ลมตีหน้า สูดอากาศเย็นๆ ช่วงปลายฝนต้นหนาวเหมือนได้เติมพลังชุดใหญ่เลยล่ะ….ทริปนี้เราเลือกที่จะไปลำปาง จังหวัดเล็กๆ ที่อยู่ติดกับเชียงใหม่ ไปทีไรก็ดีต่อใจทุกที แต่คราวนี้เราไปคนเดียว แผนการเดินทางเลยเป็นแบบง่ายๆ ทริปครึ่งวันก็เที่ยวได้ ใช้งบไปเพียง 200 บาท
เริ่มจากการตื่นตีห้าเพื่อเตรียมตัวและเดินทางมาขึ้นรถไฟตอน 6.30 น. แนะนำให้มาซื้อตั๋วก่อนซัก 6.00 น. เพราะบางวันคนเยอะ เช่น วันนี้เป็นต้น รถไฟไปลำปาง รถพัดลม ราคาเที่ยวละ 23 บาท ใครขี่มอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์มาก็สามารถฝากรถไว้ที่สถานีได้ มีค่าฝากรถนิดหน่อย
พอ 6.30 น. รถไฟมาตรงเวลาเป๊ะ คนทยอยกันเดินขึ้นรถไฟไปหาที่นั่งของตัวเอง วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษ แทบจะเต็มทุกที่นั่ง ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวพาลูกเล็กๆ มาเที่ยว คุณตาคุณยายที่มาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม กลุ่มวัยรุ่นก็มี เรียกได้ว่าทริปนี้คนเยอะที่สุดตั้งแต่เราเคยนั่งรถไฟมาเลยล่ะ
เราได้นั่งกับคู่แม่ลูกคู่หนึ่ง คุณแม่อายุมากแล้วแต่ไม่เคยนั่งรถไฟมาก่อนเลยตื่นเต้นกับทุกอย่างที่เห็น เหมือนได้กลับไปเป็นเด็ก น่ารักมากๆ ถ้ามีโอกาส เราก็อยากพาแม่มาเที่ยวแบบนี้บ้าง
รถไฟรอบ 6.30 น. ดีต่อใจเราที่สุด เพราะอากาศไม่ร้อน เย็นๆ กำลังดี รถไฟออกพร้อมพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ขึ้นจากฟ้า เป็นวิวที่มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย
เดินทางไปกับเพลงที่ชอบ
วิวข้างทางเป็นบ้านเรือนสลับกับป่าเขา
สะพานขาวทาชมภู อ.แม่ทา จ.ลำพูน สะพานสีขาวกับวิวภูเขาเขียวๆ
รถไฟจอดที่สถานีรถไฟขุนตาน ไฮไลท์ที่เด็กๆ หลายคนรอคอย ตื่นเต้นที่จะได้เข้าอุโมงค์
รถไฟตอนออกจากอุโมงค์
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสถานีรถไฟลำปาง
ก่อนที่จะออกไปเที่ยวเราต้องซื้อตั๋วรถไฟขากลับกันก่อน รถไฟขากลับเชียงใหม่มี 3 รอบต่อวัน รอบ 10.00 น. 12.30 น. และ 17.00 น. จำได้ประมาณนี้ รอบ 10 โมงกับรอบเที่ยง เป็นรถไฟพัดลมราคา 23 บาท แต่ไม่ระบุที่นั่ง พอขึ้นไปตรงไหนว่างก็นั่งเลย สามารถซื้อตั๋วได้เลย ส่วนรอบห้าโมงเย็นเป็นรถไฟแอร์ หน้าตาเหมือนรถทัวร์มีระบุที่นั่งให้ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋ว สามารถซื้อตั๋วได้ตอนสี่โมงเย็น ราคา 50 บาท
พอออกจากสถานีรถไฟมาให้เลี้ยวซ้าย เดินเลียบไปตามทางรถไฟ จะเจอกับร้านขายอาหารริมทางหลายร้าน ทริปนี้เราตั้งใจมากินส้มตำยายขัน เราเคยมากินครั้งหนึ่งแล้วชอบมาก ราคาไม่แพง
ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมง ร้านส้มตำเปิดแล้ว แต่ส้มตำยังไม่มา มีแต่ขนมจีนน้ำเงี้ยว พี่เจ้าของร้านบอกให้เราไปเดินตลาดเก๊าจาวที่อยู่ใกล้ๆ ก่อน แล้วซักสิบโมงค่อยกลับมากินส้มตำ
ยังไม่ถึงตลาดก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว พ่อค้าแม่ค้าเยอะมาก คนมาช้อปก็เยอะเช่นกัน
รักในความตะมุตะมินี้
กราฟฟิตี้ที่นักท่องเที่ยวหลายคนชอบมาถ่ายรูป แนะนำให้มาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เพราะช่วงเช้าจะเป็นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ของคนที่มาตลาด
เดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มหิวน้ำ เลยแวะที่ร้านกาแฟมันดี
โอวัลตินแก้วนี้ราคาเพียง 20 บาท อร่อย กลมกล่อมมากๆ หลังจากนั้นก็หันไปเจอกับสะพานสีดำอยู่ไม่ไกล เลยถามคุณลุงเจ้าของร้านว่าเราเดินไปตรงนั้นได้ไหม คุณลุงน่ารักมาก บอกว่าเดินตรงไปนิดเดียวก็ถึงเลย
เดินตรงไปทางนี้แล้วเลี้ยวขวาตรงไปเรื่อยๆ ก็ถึง
สะพานดำกับอากาศดีๆ และม้าที่กำลังกินหญ้าอยู่
(สะพานดำเป็นหนึ่งในสะพานของจังหวัดลำปาง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก ลองไปหาอ่านได้)
ร้านนี้ต้องตำแคบหมูสูตรเด็ด จานนี้ 25 บาท ขนมจีนอีก 5 บาท รวมเป็น 30 บาท ถูกมากเลยแกเอ้ยย แต่ด้วยความที่กินขนมมาจากบนรถไฟ เลยสั่งแค่ตำแคบหมูอย่างเดียว
วิวก็จะประมาณนี้
มีเพื่อนมาหา
หน้าตาของร้านก็จะประประมาณนี้ ช่วงเที่ยงคนจะแน่นมาก นอกจากส้มตำแล้วยังมีขนมจีนน้ำเงี้ยว ไก่ย่างและอาหารอื่นๆ อีกมากมาย
หลังจากนั้นเราก็เดินไปคาเฟ่ที่เราเคยมาครั้งหนึ่งแล้วชอบมากๆ Memmoth Cafe&Hostel InLampang อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ
ชอบบ้านเรือนที่ลำปางมาก น่ารัก
ถึงแล้ว วันนี้คนเยอะมาก รถจอดเต็มไปหมด ก่อนเข้าไปก็ลุ้นมากว่าจะมีที่นั่งไหม
พอหาที่นั่งได้แล้วก็สั่งชาแอปเปิ้ลเย็นๆ มาดื่ม แก้วนี้ราคา 45 บาท
เนื่องจากคนเยอะมาก เลยหามุมถ่ายรูปได้นิดๆ หน่อยๆ
ที่นี่เป็นโฮสเทลด้วยนะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในแฟนเพจ Memmoth Cafe&Hostel InLampang
เราอยู่คาเฟ่ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วเดินกลับมาที่สถานีรถไฟ เพื่อรถขึ้นรถไฟขากลับ แต่วันนี้รถไฟมาช้าไปครึ่งชั่วโมง
รถไฟมาแล้ว ได้เวลากลับเชียงใหม่ ถือว่าเป็นทริปครึ่งวันที่เงียบดี 5555 เพราะได้อยู่กับตัวเอง ไม่ค่อยได้คุยกับใคร แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ใครสนใจมาทริปแบบนี้กำเงิน 200 ตื่นเช้าๆ แล้วขึ้นรถไฟโล้ดด