ใครที่ได้ไปเดินเตร่แถวนิมมานเหมินท์ ทุกวันศุกร์เมื่อช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะในซอย 5 บริเวณหน้าโรงแรมเชียงใหม่ ไชโย อาจจะสังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกันเหมือนจัดงานอีเว้นท์อะไรสักอย่าง มองๆไปก็เหมือนคนมาตั้งแผงลอยขายของ มีทั้งร้านกาแฟ ร้านน้ำผลไม้ปั่น ร้านรับวาดการ์ตูนล้อเลียน ร้านขายข้าวกล้องหอมมะลิ เป็นต้น แต่พอมองดีๆ เอ้ะ ! มันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะไม่เห็นมีหน้าร้านเป็นเรื่องเป็นราวกันเลย นอกจากจักรยานคนละคันเท่านั้น เอ…แล้วเขาทำอะไรกันหว่า ?
- พิกัด : หน้าโรงแรมเชียงใหม่ไชโย
- (วันศุกร์ 14.00 – 19.00 น.), ตลาดนัดเกษตรปลอดสารพิษ โครงการ JJ Market (วันเสาร์ 07.00 – 14.00 น. ), Morning Market บ้านข้างวัด (วันอาทิตย์ 07.00 – 13.00 น.)
- เบอร์โทร : 081 – 0741556
- Facebook : Bikaholic CNX
ไม่ต้องสงสัยนาน เพราะพวกเขาก็คือกลุ่ม Bikaholic CNX กลุ่มจักรยานรถพ่วง ที่เหล่านักปั่นจักรยานในเชียงใหม่ มารวมกลุ่มกันขายของและทำกิจกรรมนั่นเอง ซึ่งอย่างที่บอกไปว่ามีหลายร้านมาก แต่ที่อยากจะแนะนำเป็นพิเศษ เพราะช่างเหมาะกับสภาพอากาศในฤดูร้อนผสมหมอกควันจากไฟป่าเป็นที่สุด ก็คือน้ำผลไม้ปั่นจาก Twister Bike Blender ที่มีพี่จิม ภูดิท ทาสุคนธ์ เป็นผู้ควบคุมการผลิต ซึ่งเพียงแค่ได้เข้าไปซื้อน้ำปั่นและพูดคุยกับพี่เขา ก็เหมือนกับได้หยุดโลกเลยทีเดียว ทั้ง
หยุดใช้ไฟฟ้า … ใช้แรงคนแทน
หยุดโ(ร)คภัย ไข้เจ็บ ได้ออกกำลังกาย … จะกินน้ำร้านนี้ ต้องเสียเหงื่อก่อน
หยุดเยอะ … อุปกรณ์ในร้านและเมนูน้อยยังไม่พอ พี่แกยังหยุดเยอะอีก อาทิตย์หนึ่งขายแค่ 3 วันเองขุ่นพี่
หยุดรวย … พอดี พอเพียง พอแล้ว
หยุดเปลี่ยนโลก…มาเปลี่ยนตัวเองแทน
โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ซึ่งจะทำงานก็ต่อเมื่อมีคนออกแรงปั่นจักรยานเท่านั้น โดยจะลองปั่นเองด้วยสองแข้งหรือให้พี่จิมจัดการให้ก็ได้ รสชาติเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือเม็ดเหงื่อ
ไม่ต้องคาดหวังความหลากหลายของเมนู ไม่ต้องรอคอยหน้าตาที่หรูหรา หลอดก็ไม่มีให้ ช้อนตักกินเหรออย่าได้ฝัน แต่ที่เรามั่นใจได้เลย ก็คือความปลอดภัย ปราศจากสารพิษโดยสิ้นเชิง เนื่องจากพี่จิมไม่ได้ไปซื้อผลไม้มาจากตลาด แต่แกขอซื้อมาจากชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ลำปาง ที่เขาปลูกผลไม้เอาไว้เด็ดกินกันตามบ้านนั่นแหละ ได้แก่ มะนาวไร้เมล็ด มะนาวน้ำหอม เสาวรส อะโวคาโด และกล้วย เป็นต้น ทุกอย่างขายแก้วละ 40 บาท เพิ่มความหวานหอมด้วยน้ำผึ้งแท้ๆ หรือใครอยากจะใส่น้ำเชื่อมแทนก็ได้ ซึ่งมีถึง 3 ชนิดด้วยกัน ทั้งแบบใช้น้ำตาลทั่วไป แบบใช้น้ำตาลฟรุกโตส และน้ำเชื่อมแอสปาร์แตม สำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน (ที่ขาดหวานไม่ได้) เวลากินก็ค่อยๆจิบ ค่อยๆลิ้มรส เออ…มันอร่อยขึ้นยังไงไม่รู้แฮะ และทั้งหมดนี้มันทำให้น้ำผลไม้ปั่นธรรมดาๆ กลายเป็นแก้วที่ใส่ความพิเศษลงไปเต็มๆซะอย่างงั้น เอาเป็นว่าไปคุยกับพี่จิมหน่อยดีกว่า ร้านแปลกขนาดนี้ เจ้าของไอเดียจะแปลกขนาดไหน ?
ไม่ค่อยเห็นใครทำแบบนี้ ไม่ล่ะ…ตรงๆเลยดีกว่า ไม่เคยเห็นคนทำแบบนี้ ทำไมไม่ใช้ Food Truck แบบที่คนทั่วไปทำ ?
“คือเราเป็นคนปั่นเดินทางอยู่แล้ว แล้วพอเราปั่นเดินทางไป เดินทางไป แล้วเราก็รู้สึกว่า เราทำงานก็เอาเงินมาใช้ในทริปทัวร์ริ่ง ในทริปปั่นจักรยาน เอ้ะ ! ถ้างั้นเราจะทำอะไรได้บ้างในขณะที่เราเดินทาง เพื่อที่เราจะหาเงินได้ด้วย แล้วก็เดินทางไปได้ด้วย ก็เลยค้นๆๆดู ก็มารู้สึกว่า เออ…น้ำผลไม้เนี่ย มันน่าจะทำได้ ที่เกี่ยวข้องกับจักรยาน สามารถใช้ระบบของการปั่นได้เลย ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้มีแค่สมูทตี้อย่างเดียว ปั่นเป็นไอศกรีมก็ได้ด้วย มีถังไอติมก็ปั่นไอติมก็ได้ ปั่นไฟก็ได้ ทำอะไรได้อีกหลายอย่างครับจักรยาน”
ได้ไอเดียมาจากไหน ?
“จริงๆแล้วเมืองนอกเขามีอย่างนี้มานานแล้วครับ เขาทำมากันนานแล้ว ทำกันจนเป็นคอมมิวนิตี้ เป็นวัฒนธรรมเลยด้วย อย่างเวลาที่จัดปาร์ตี้จักรยานแบบเนี่ย ทุกคนก็จะมารวมกัน คือเป็นคนประเภทเดียวกัน คือค่อนข้างที่จะแอบปฏิเสธชีวิตแบบกระแสหลักน่ะ แล้วก็ทดลองที่จะใช้ชีวิตแบบที่จะไม่ต้องพึ่งพากระแสหลักไปซะทุกอย่าง ใช้เทคโนโลยีไปซะทุกอย่าง ใช้เท่าที่จำเป็น อย่าง พี่สว่าง (Nomad Coffee) เขาขายกาแฟดริปอยู่แล้ว เราก็แบบ อืมมม… เค้าก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของเราด้วย มันทำให้แรงบันดาลใจเป็นรูปเป็นร่าง ชัดเจนขึ้น ว่า เฮ้ย ! มันก็ได้เหมือนกันเนาะ”
กับแนวคิด Back to The Basic ที่กลายมาเป็นสไตล์ของร้าน ?
“ก็ถ้าเราจะทำเสื้อผ้า มันจะเป็นเสื้อผ้าแบบที่เรียบง่าย สังเกตว่ากลุ่มพี่แต่ละคน อย่างพี่หนุ่ม อย่างพี่สว่าง ก็จะไม่ค่อยที่จะบิ้วท์อะไรกับลูกค้าเท่าไร ในเรื่องของการประดับตกแต่ง หรือในเรื่องของสินค้า คืออยากจะแบบว่าเป็นเบสิค เป็นง่ายๆ แต่ว่าดี อย่างเวลาที่เสิร์ฟลูกค้าเนี่ย แก้วก็จะไม่มีหลอด ไม่มีช้อนให้ เพราะว่ามันกินได้ (หัวเราะ) มันอยู่ในความสามารถที่มนุษย์จะกินได้ มีแค่แก้วใบเดียว กินได้ มนุษย์เนี่ย ไม่ต้องเคยชินที่ว่าจะต้องมีไอ้นั่น มีไอ้นี่ ซึ่งหลายๆอย่าง เรามีมันจนกระทั่งเราคิดว่า ถ้าเราจะไม่มีมันแล้วเราจะไม่ได้อ่ะ”
เคยมีลูกค้าว่าอะไรไหม ?
“เคยเจอคนที่มาถาม พอรู้ว่าไม่มีหลอด ก็ไม่ซื้อเลยก็มี เขาก็จะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเรา (หัวเราะ) ส่วนลูกค้าที่มาซื้อ เราดูแล้วเรารู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นกลุ่มคนที่ชอบชีวิตง่ายๆ ถึงชีวิตจริงเขาอาจจะยังไม่ง่ายนัก ในอาชีพ ในอะไร แต่ว่าลึกๆแล้วเขาก็ดูเหมือนจะเห็นดีเห็นงามกับภาพที่เขาเห็น กับชีวิตที่ไม่ต้องซับซ้อน”
แต่ก็ยังเห็นความใส่ใจด้วยการใช้ของดีๆ ?
“ยกตัวอย่าง เราขายอาหารเหมือนกันนี่แหละ ไม่ได้ไปลักขโมยใคร แต่ถ้าเราให้วัตถุดิบที่ไม่ดีกับเขา เราก็เหมือนไปขโมยสุขภาพที่ดี ไปขโมยเงินของเขามา มันก็เป็นขโมยเหมือนกัน ซึ่งทุกครั้งที่เราได้ตังค์มาเนี่ย ก็เหมือนกับว่าเราก็ตกนรกไปเหมือนกัน ยิ่งได้เยอะยิ่งตกลึกเลย แต่ถ้าเกิดว่าเราให้สิ่งดีๆกับคน อย่างน้อยที่สุดเลย ก็คือให้ของมีคุณภาพเท่าที่เราจะทำได้ มันก็สบายใจ”
แล้วก่อนหน้านี้พี่ทำอะไร ?
“คือแต่ก่อนนี้พี่ขายของอยู่ที่ห้างแห่งหนึ่งมาสิบปี คราวนี้ก็รู้สึกว่าเราต้องพึ่งห้างสรรพสินค้ามากเลย แล้วก็ต้องพึ่งพาความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมันคืออะไรก็ไม่รู้น่ะ เดี๋ยวก็ เอ่อ ช่วงนี้ขายดีจังเลย ช่วงนี้ขายไม่ดี มันก็ไปขึ้นๆลงๆ ไปตามเศรษฐกิจ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่าอยู่ในห้างเนี่ย เราเริ่มรู้สึกว่ามัน…ใช้ไฟเยอะอ่ะ คือเราก็รู้สึกว่า อย่างทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องไฟฟ้า เรื่องประปา เขาก็มีโครงการที่ให้คนไทยช่วยกันประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ แต่ว่าเราประหยัดไป แล้วประหยัดให้ใครอ่ะ เราประหยัดไป แต่ว่าห้างใหม่ๆก็เกิดขึ้นมากมาย แล้วก็ใช้ไฟมหาศาล ใช้น้ำอย่างที่มากกว่าหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน หรืออำเภอทั้งอำเภอใช้อีก ใช้ไฟมหาศาลมากห้างสรรพสินค้า”
มันเกี่ยวกันยังไงล่ะเนี่ย ?
“มันก็กลายเป็นวัฒนธรรมที่อยู่ในระบอบทุนนิยมไปไง เริ่มซีเรียสแล้วเว้ย (หัวเราะ) คือ มันจะเริ่มจริงจัง แต่ว่ามันเป็นอย่างนั้น มันมีแรงจูงใจอย่างนั้น จากเราที่ไปอยู่ในห้างเนี่ย เรานั่งมองคนผ่านไปผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภค เราก็เลยรู้สึกอยากเป็นอิสระจากห้าง จังหวะที่ออกมา ก็ได้เจอเพื่อนๆ ที่แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเลยนะครับ แต่ว่ามีจุดร่วมกันได้ที่มัน จุดหนึ่งก็คือว่า ไม่ค่อยติดกับระบบทุนนิยมเท่าไร แล้วก็อยากจะรู้สึกมีอิสระจากพันธนาการของทุนนิยม”
แสดงว่า ณ จุดนี้ ก็ไม่ได้คาดหวังในแง่ของรายได้ ?
“ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องมากขึ้นๆ หรือเพื่ออะไรที่เป็นเงินมากๆ หรือเป็นธุรกิจหนักไป จะเป็นอะไรที่สบายใจ หรืออยู่ได้ และให้ของดีๆกับคนกินน่ะครับ”
ดูเหมือนพี่จะมีมุมมองที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ?
“พี่เป็นคนกรุงเทพ พี่เกิดกรุงเทพ เพราะฉะนั้นพี่จะมองเห็นภาพล่วงหน้าของเชียงใหม่ละ คือ เหมือนกับว่า เรามาจากที่ๆมันพังไปแล้วอ่ะ เหมือนมาจากดวงดาวที่มันย่อยยับไปแล้วในทางวิถีชีวิต ที่กรุงเทพสมัยก่อนเป็นสวน เป็นนา เกิดมาก็อยู่กับท้องร่องสวน อยู่กับนา สมัยนั้นออกไปดอนเมืองนี่บ้านนอกมาก คือ เราก็เลยรู้สึกว่าโหยหาชีวิตแบบนั้นน่ะมาตลอด แล้ววันหนึ่งก็พยายามดีไซน์ชีวิตทีละน้อย ทีละน้อยที่จะค่อยๆหลุดออกมา หลุดออกมาเรื่อยๆ มันก็ยังมีสิ่งที่เราจะต้องละต้องหลุดอีก แล้ววันหนึ่ง ในวันข้างหน้า เราก็จะหลุดออกไปเรื่อยๆ ออกไปเรื่อยๆ ไปสู่ชีวิตที่มัน……..”
ถึงจุดนี้พี่จิมก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เราตกอยู่ในความเงียบ…
“จริงๆมันไม่ใช่ชีวิตที่แปลกใหม่อะไรครับ มันคือชีวิตดั้งเดิมของคนไทยเราอ่ะ ที่คนไทยเราอยู่ได้อย่างที่ไม่ต้องพึ่งพาใครที่เราไม่รู้จัก คือเราอยู่แถวบ้าน เราก็อยู่ได้ไปยันตายเลย เราไม่ต้องไปพึ่งสินค้าที่ต้องส่งมาจากที่ไกลๆ วันหนึ่งอย่าง…..สมมติ จำได้ไหม น้ำท่วมกรุงเทพ เดือดร้อนไปหมด แม้แต่ผ้าอนามัยก็ไม่มี ขาดแคลน ซึ่งมันเป็นเรื่องตลก เป็นชีวิตที่มองดูแล้ว มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น มันไม่น่าจะถูกต้อง มันอาจจะถูกต้องสำหรับคนที่จ้องจะขายสินค้าให้ได้เยอะๆ เป็นเจ้าของทุนที่ต้องการที่จะทำไงก็แล้วแต่ให้ขายได้เยอะๆ ปีหน้าก็ต้องเพิ่มยอดขายขึ้นไปอีก ปีหน้าก็ต้องเพิ่มเป้าขึ้นไปอีก คือรถจะออกมาเต็มถนนก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมาแคร์ แต่ว่าขอให้ขายรถได้เยอะๆก็พอ หรือว่าเสื้อผ้า คนมีเต็มตู้แล้ว ก็จะต้องจูงใจให้เขาซื้ออีก อะไรอย่างเนี่ย”
ถามตรงๆ ว่าทุกวันนี้อยู่ได้ไหม ?
“อยู่ได้ครับ เพราะว่าหนึ่งพี่ไม่มีหนี้ ข้อสองก็คือพี่กินมังสวิรัต มันเลยไม่ค่อยต้องการอะไรมาปรนเปรอในชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ หรือแสงสีเสียง แล้วก็อีกอย่างที่ทำให้เราอยู่ได้ คือเลิกเหล้า เลิกบุหรี่มา 12 ปีละ พร้อมกับกินมังสวิรัตเนี่ย เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายในชีวิตเราเนี่ยมันก็น้อยน่ะครับ มันไม่ได้เยอะ ดังนั้นจริงๆแล้วคนเราไม่ต้องหาเงินเยอะก็ได้ เพียงแต่ว่าให้รูรั่วมันน้อย เราก็อยู่ได้ จริงไหมฮะ แล้วพี่อาจจะไม่ได้คิดถึงว่าเราจะต้อง รวย รวย รวยด้วยมั้งครับ คือ ไม่ได้ตั้งเป้าชีวิตไว้แบบนั้น แต่ว่าอยากให้มีความสงบ อะไรก็ตามที่มันทำให้ชีวิตเราสงบ เราก็จะหาทางมุ่งไปทางนั้น มันก็เลยรู้สึกว่าชีวิตตอนนี้กลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง คือเหมือนกับว่าไม่ต้องคิดไรมาก หาเงินอย่างนี้ อาทิตย์หนึ่งทำสัก 5 วันก็โอเคละ”
ถ้าหลายๆคนคิดได้แบบพี่ ชีวิตคงวุ่นวายน้อยลงเยอะ ?
“คือพี่รู้สึกว่าชีวิตมนุษย์เรามันไม่น่าที่จะเกิดมาแล้วต้องเครียดมากน่ะ มันควรจะเป็นชีวิตที่รีแลกซ์ มนุษย์ไม่เหมือนสัตว์นะ สัตว์มันไม่สามารถปลูกพืช ปลูกอาหารกินเองได้ การเก็บสะสมมันไม่มี มันจะต้องหาสดๆ ตื่นขึ้นมาก็ต้องออกไปหากิน ท้องว่าง หิวละ หิวก็ต้องทำทุกอย่าง เพื่อที่จะล่ามาให้ได้ หามาให้ได้ เพื่อให้ได้กิน ไม่งั้นก็จะหาหิวมาก แล้วก็จะทรมาน แต่มนุษย์เนี่ย เราสามารถดีไซน์ชีวิตของเราให้มันไม่ต้องเป็นเหมือนหมาล่าเนื้อขนาดนั้น เพียงแค่เรามีพื้นที่การเกษตร แล้วเราเพาะปลูกได้ ในขณะเดียวกันเราก็มีอีกพาร์ทหนึ่งของชีวิต ออกมาเมคมันนี่เล็กๆ สำหรับพี่ก็คือแค่จักรยานกับพ่วง ก็เนี่ย…ชีวิตฉัน ! ฉันอยู่ได้ละ หาเลี้ยงชีวิตฉันได้ละ”
แล้วตั้งแต่มาขายน้ำผลไม้ปั่นแบบนี้ มีความประทับใจอะไรบ้างไหม ?
“คือการที่เรามีส่วนกระตุ้นให้เขาได้สติ อย่างเช่น 80 – 90 เปอร์เซ็นต์ก็จะถามถึงหลอด นึกว่าเราลืมใส่หลอด นึกว่าเราลืมใส่ช้อนมาให้ แล้วพอเรามีมุมมองอย่างนี้ให้เขาปุ๊ปเนี่ย เช่น ถ้าใช้หลอด มันจะหายอร่อยไว เพราะความอร่อย ความหวานมันจะโดนดูดไปก่อน แล้วสุดท้ายมันก็จะเหลือเป็นน้ำแข็งกากๆ ซึ่งเราก็จะไม่อยากกินมันละ แต่ว่าถ้าเรากินมันอย่างนี้ เราค่อยๆดื่ม พอมันอยู่ลึกหน่อย เราก็บีบๆให้มันเทออกมาได้ เนี่ยมันก็จะอร่อยทั้งแก้วเลยครับ แล้วมันก็จะให้เราได้บริโภคน้ำปั่นแก้วนี้ผ่านไปได้โดยที่ไม่ได้เป็นอันตรายกับโลกใบนี้ พอเราบริโภคน้ำปั่นแก้วนี้จบ มันก็มีแค่แก้วกระดาษซึ่งมันก็สามารถย่อยสลายได้ง่าย แล้วก็ไม่มีหลอดพลาสติก ไม่มีช้อนพลาสติกที่มันจะส่งผลกระทบให้กับสิ่งแวดล้อม เป็นภาระของโลกใบนี้”
“จากที่เกิดมา 46 ปีแล้วเนี่ย ก็ได้คำตอบที่ว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้นอกจากตัวเอง แล้วก็สร้างอาณาจักรเล็กๆของเราขึ้นมาแค่นั้นเอง อย่างเมืองไทยเนี่ยมันมีพื้นดินที่มันปลูกอาหารได้ อาหารเนี่ยมันสำคัญที่สุด ถูกไหม ? คือที่เราทำมาหากินทุกวันนี้เนี่ยก็เพื่อที่จะเอาเงินไปซื้ออาหาร เพราะฉะนั้นการที่เรามีพื้นที่ที่ทำให้เราไปอยู่ท่ามกลางอาหารได้เลยเนี่ย มันก็ทำให้เราเหมือนกับว่าหลุดจากพันธนาการของการที่เราจะต้องหาเงิน หาเงิน ตื่นขึ้นมาก็จะหาเงินที่ไหนดี จะไปตรงไหนดี”
เปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่หลุดจากพันธนาการได้ ?
“ก็ถ้าวันหนึ่งเกิดเราพลาดพลั้งในชีวิต อย่างเช่นหน้าที่การงาน ไม่ก็เรื่องสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ อย่างนี้น่ะครับ พลาดพลั้งนิดเดียว ปุ๊ป ! อาจจะขาแพลง เข้าเฝือก อาจจะมีปัญหาเรื่องงานละ ถูกมะ ? ไปทำงานไม่ได้ แค่ขาแพลงเข้าเฝือกเนี่ยก็มีปัญหาละ วันนี้ขาแพลง วันหน้า เอ้า ! ข้อมือร้าวล่ะ หัวหน้าเราก็คงจะแบบว่า เอ้ย…ไปอยู่บ้านก่อนไหม อย่างนี้น่ะ เพราะฉะนั้นเราควรจะแบ่งชีวิตเป็นสองส่วน มีพื้นที่ที่เผื่อถอยด้วย ซึ่งพื้นที่นั้นจะต้องทำให้เราอยู่ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อไปซะทุกอย่าง แล้วคนไทยเราไม่ได้อยู่ในทะเลทราย เพราะฉะนั้นมันยังมีความพร้อม มันยังโชคดีที่เกิดในแผ่นดินที่มันปลูกอะไรก็ได้ มีความอุดมสมบูรณ์ ภูมิอากาศไม่รุนแรง ไม่เลวร้าย อย่างพี่ก็จะซื้อที่ไว้ทำการเกษตรแบบยั่งยืน เนี่ยไง…มันโชคดีมาก !”
คนอื่นสามารถเอาอย่างพี่ได้ไหม ?
“ก็เคยมีคนบอกให้ไปจดลิขสิทธิ์นะ แต่พี่ว่าจริงๆแล้วไม่ควรให้ใครเอาไปจดลิขสิทธิ์ เพราะพี่คิดว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้ทำงานที่ดี ไม่วุ่นวาย ก็ใครจะเอาไปทำ ก็ทำได้เลย มันเป็นสัมมาอาชีพอย่างหนึ่ง”
ถ้ามีคนอยากเข้ามาร่วมกลุ่มด้วยล่ะ ?
“เชิญเลยครับ เราโอเพ่นเต็มที่ ขอให้มากับจักรยานก็พอ”
จำเป็นต้องเป็นจักรยานแพงๆไหม ?
“จักรยานแม่บ้านก็ได้…อย่างน้องก็มาแจมกันได้นะ” (หัวเราะ)
อยากฝากอะไรถึงคนที่สนใจอยากมาร่วมกลุ่มบ้าง ?
“มาเลยครับ ทำเลย ลุยเลยครับ ไม่ต้องคิดมาก คือว่าปัญหาของชีวิต บางทีก็ไม่ได้อยู่ที่งานนักอ่ะ บางทีปัญหาก็อยู่ที่ตัวเราเอง ที่ทำให้เราอยู่กับสภาวะนี้ได้หรือไม่ได้ อย่างการค้าขายหรือการทำงานเนี่ย มันคือการฝึกจิตใจตัวเองอย่างหนึ่ง โห อย่างวันนี้ขายดี แล้วจิตใจเราพองฟู พออีกวันเราขายไม่ดี แล้วก็แฟบแล้วก็เหี่ยว แล้วเดี๋ยวก็พองๆแฟบๆ ฟูๆแฟบๆ อยู่อย่างเนี่ย คนๆนั้นก็น่าจะแบบ สุขภาพจิตคงไม่ดี เพราะฉะนั้นคิดจะทำอะไรก็ต้องรู้จักสิ่งนั้นให้มันชัด ว่าโอเคเราทำได้ แล้วเราก็น่าจะรับได้ น่าจะมีความสุขกับมันได้ น่าจะรู้สึกสงบกับมันได้ แล้วเราก็ทำ แต่ว่า…โอเค ! เราต้องไม่มีหนี้เยอะด้วยไง อันนี้สำคัญนะ เราต้องหลุดจากหนี้ก่อน คือถ้าบางคนที่ยังมีความจะเป็นต้องใช้หนี้เยอะอยู่ในแต่ละเดือนก็อาจจะต้องจัดไป แต่ลึกๆแล้วขอให้มีเมล็ดพันธุ์แบบนี้มันอยู่ข้างในใจเรา วันหนึ่งเมื่อเหตุปัจจัยมันถึงพร้อม วันหนึ่งเมื่อเกิดมีละอองฝนโปรยลงมาโดนเราพอดี ไอ่สิ่งที่บังอยู่เนี่ยมันหายไป แล้วก็ได้เจอกับความชุ่มชื้นที่มันลงมาเจอกับเมล็ดพันธุ์นี้ มันก็งอกงามขึ้นมาได้ในวันๆหนึ่ง มันจะมีวันนั้นครับ มันจะถึงวันนั้นเองทุกคน…”
และทั้งหมดนี้คือการต้อนรับหน้าร้อนแบบที่ไม่ธรรมดา ในฉบับของ Review Chiang Mai สิ่งที่คนอื่นมองข้ามไป เราจะนำมาบอกต่อเอง สำหรับ Twister Bike Blender ร้านน้ำผลไม้ปั่น(กำลังแข้ง) ร้านนี้ ใครสนใจอยากจะไปลองปั่น ลองชิม หรืออยากร่วมกลุ่มรถจักรยานพ่วงด้วย ก็ล็อคเป้าไปตามพิกัดที่บอกไปด้านบนได้ ไม่แน่ว่าคุณอาจเป็นคนต่อไปที่เราไปนั่งคุยด้วยก็ได้
– – – – – – – – – – – – – – –
ท่านใดมีที่กินหรือคนที่เป็นแรงบันดาลใจเจ๋งๆในเชียงใหม่ แนะนำเข้ามาได้ อย่าลืมแวะมา Comment มาแชร์ให้เจ๋งได้รู้ตามช่องด้านล่างหรือ
เจ๋งจะตามไปรีวิวอย่างทันท่วงที