Humans Of Chiang Mai ลี : Akha Ama Coffee : กาแฟ ตัวตน และชุมชนที่ยั่งยืน

ใครเลยจะคิด จากเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งผู้เดินทางมาจากกลุ่มชนเผ่าบนภูเขาอันห่างไกล ด้วยความรักแท้จริงที่มีต่อหมู่บ้าน และหัวใจบริสุทธิ์ที่อยากเห็นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่พร้อมกับความยั่งยืนของชุมชนและชาวบ้านเกิดขึ้น เขาได้พกความฝันพร้อมกับเมล็ดกาแฟชั้นดีจากหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่สู่เมืองใหญ่ ด้วยความอดทน ความไม่ย่อท้อ และด้วยความตั้งใจ บวกแรงลงมือ ลงใจในการทำ เมล็ดกาแฟเหล่านั้นจึงได้ผลิดอกออกผลกลายเป็นกาแฟชั้นเลิศ ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกภายใต้ชื่อ

‘อาข่า อ่ามา’ (Akha Ama)

ก่อนจะมาถึงวันที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ‘ลี อายุ จือปา’ ชายหนุ่มผู้รักในกาแฟ ต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่างมามาก ก่อนที่กาแฟจะพาเขาไปไกลระดับโลก พร้อม ๆ กับการที่กาแฟได้หล่อหลอมให้เขาได้ตระหนักถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือสถานที่ที่เขาจากมานั่นเอง

วันนี้เรามีโอกาสได้มาพูดคุยกับ ลี ที่ร้านกาแฟ อาข่า อ่ามา สาขาแรกที่สันติธรรม เมื่อเราไปถึง เราพบว่าที่ร้านกำลังต่อเติมบางส่วนเพื่อให้ดูสวยงาม และรอรับลูกค้าได้มากขึ้น และไม่นานเราก็ได้พบกับ ลี เจ้าของแบรนด์กาแฟดังระดับโลกในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ พร้อมรอยยิ้มและการทักทายอย่างเป็นกันเองของเขา

หลายคนอาจจะเคยได้รู้จักลีมาบ้างแล้วจากรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ ที่เขาเคยไปออก หรือทางสื่อต่าง ๆ รวมไปถึงการบรรยายบนเวทีมากมาย และในวันนี้เราได้ทราบมาว่าเขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากอิตาลี เราจึงได้เริ่มต้นพูดคุยกับเขาในเรื่องนี้

“ใช่ครับ เพิ่งกลับมาจากอิตาลี ก็ไปที่ โตริโน(Torino) ไปร่วมงาน Slow Food ซึ่งเกี่ยวกับความยั่งยืนทางอาหาร มาจากทุกที่ทั่วโลกเลย”

อาจเป็นครั้งแรก หรืออาจจะเป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบ ที่เราได้ยินคำว่า ‘ความยั่งยืนทางอาหาร’ แต่หากถามให้ลึกกว่านั้น เราอาจจะทำหน้ามึนงง ก่อนตอบไปสั้น ๆ ว่า ไม่รู้ เมื่อเรามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ที่ไปร่วมงานมาอย่างลี เราจึงไม่พลาดที่จะพูดคุยกับสิ่งที่เขาสนใจเช่นกัน

“ผมสนใจในเรื่องนี้เพราะส่วนตัวผมมองว่า รุ่นพวกเราลืมอาหารที่ดี ๆ ไปเยอะ แล้วก็ทุกวันนี้เราพูดถึงความยั่งยืนทางอาหารกันเยอะ แต่เราก็ไม่ได้รู้กันจริง ๆ ว่ามันหมายถึงอะไร ผมก็เริ่มได้ทำเรื่องพวกนี้มาสักพักแล้วกับชาวบ้าน เราก็คุยกับชาวบ้านว่า เราปลูกกาแฟกันได้ก็จริง แต่ถ้าเราไม่ปลูกอาหาร สุดท้ายรายได้จากการขายกาแฟ เราก็ต้องเอาไปซื้ออาหารกินอยู่ดี แล้วทำไมเราไม่สร้างคลังอาหารของเราเองเลย รายได้จากกาแฟเราก็ไม่ต้องใช้จ่ายซื้ออาหารแล้ว เราก็เอาไปส่งให้ลูกหลานเรียนเต็มที่”

“มันเป็นแนวคิดที่ง่ายมาก แต่คนไม่ได้คิดถึงตรงนี้มากเท่าไหร่”

ความยั่งยืนทางอาหารที่เขาว่า อาจเป็นสิ่งที่ใกล้ตัว จนเราลืมที่จะสังเกตมันก็ได้ และมันอาจจะสัมพันธ์กับวงจรชีวิตของคนเราอยู่มากทีเดียว ซึ่งลีบอกกับเราว่า แท้จริงประโยชน์จากความรู้เรื่องความยั่งยืนทางอาหารนี้มีมากทีเดียว

“พอมาทำจริง ๆ มันเกิดผล เกิดประโยชน์ขึ้นชัดเจนเลย กาแฟ ผลไม้ ชา ผัก ทำกันทั้งปีในสวนเดียว เกิดความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ในเรื่องของรายได้ แต่รวมไปถึงความยั่งยืนทางอาหาร และทางระบบนิเวศ”

“ผมก็ได้เอาเรื่องพวกนี้ไปแชร์ที่งานแหละครับ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ ขนาดนี้ว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลต้องมาสนใจเลย”

ลีบอกกับเราว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่ ความยั่งยืนทางอาหาร เป็นสิ่งที่คนพูดถึง แต่ไม่ได้เข้าใจ ซึ่งความจริงแล้วมันก็เกี่ยวข้องกับกาแฟที่เขาทำด้วย อาจกล่าวได้ว่า ลี สนใจในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์เช่นเดียวกับการพัฒนาในด้านอื่นไปพร้อม ๆ กัน

       “ผมมีโอกาสได้พบกับ Jamie Oliver ด้วยที่งาน เขาก็สนใจในเรื่องนี้ เขาบอกกับผมด้วยว่า ใครจะเชื่อว่าดัชนีของคนที่เสียชีวิตจากเรื่องอาหารการกินในปัจจุบันมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนที่ป่วยเป็นโรคอื่น ๆ แล้วตาย”

สิ่งเหล่านี้ก็เลยเป็นที่สนใจของผม โลกเราหมุนไปถึงไหนแล้ว แล้วเราอยู่ตรงไหนกันแน่ เรื่องพวกนี้ใกล้ตัวมากจนเรามองไม่เห็น เราอาจบอกว่า พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ แต่ความจริงใครจะรู้ว่าเราจะมีโอกาสได้ทำหรือไม่ มันเลยเป็นสิ่งที่ตอบว่าทำไมผมต้องทะเยอทะยานไปอเมริกา ไปอิตาลี

อาจกล่าวได้ว่า อาหารเกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง และมันอาจเชื่อมโยงไปถึงจุดที่ใหญ่กว่าในสังคมอย่างเช่นครอบครัว ความสัมพันธ์ เพื่อนบ้าน ชุมชน จังหวัด ประเทศ หรือระดับโลกเลย แต่ใครสักกี่คนที่จะตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ แนวคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราพูดถึง ความยั่งยืนทางอาหารเป็นเรื่องที่ต่างชาติให้ความสนใจ กลับกันในเมืองไทย เรามีน้อยเหลือเกินที่จะมีใครมาใส่ใจ

“น่าเสียดายมาก คนต่างชาติมองไทยว่าเป็นประเทศที่มีทุกอย่าง แทบจะเรียกได้ว่าโยนอะไรลงไปในดินมันก็เกิดผล แต่ทำไมเรากลับไม่สนใจ ผมไม่ได้แอนตี้เรื่องอาหารฟาสต์ฟู้ดนะ แต่ผมกำลังจะบอกว่าสิ่งที่เป็นอาหารที่บ้านเรามี มันมีคุณค่ามากกว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดตั้งไม่รู้กี่เท่า แต่เรากลับมองว่ามันน่าเบื่อ”

“ถ้ามองในแง่หนึ่ง ทำไมเราต้องสนใจขนาดนี้ แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง มันใกล้ตัวเรามากเลย แล้วมันทำลายเราขนาดไหน”

“มีภาษิตไทยอันหนึ่งที่ผมคิดว่ามันใช้ได้จริง ๆ กับคนไทยเราเลย คือไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา”


เราพอจะได้ทราบแล้วว่าความยั่งยืนที่เราพูดถึงกันอย่างผิวเผินนั้น แท้จริงแล้วสำคัญขนาดไหน สารภาพตามตรงว่าเรารู้จักลีเพียงแค่เป็นเด็กหนุ่มที่มีใจรักในการทำกาแฟจนกระทั่งมีชื่อเสียง แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราพบว่าลีมองเห็นความสำคัญในด้านการพัฒนาชีวิตคนไปด้วย โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกิน และชุมชน แต่เราก็ไม่ลืมที่จะพูดคุยกับเขาถึงที่มาของกาแฟระดับโลกที่เขาสร้างมันมากับมือ

Humans Of Chiang Mai : อายุ จือปา (ลี)

“กาแฟที่เราใช้เป็นกาแฟไทยล้วนครับ มาจากชุมชนที่ผมทำงานอยู่ ก็มีของแม่จันใต้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม ตอนนี้ก็มีบ้านห้วยทราย บ้านดอยงาม”

ลีเล่าให้เราฟังว่าแท้จริงกาแฟนี้เกิดขึ้นจากความรักที่มีต่อหมู่บ้าน และอยากเห็นการยกระดับชีวิตคนในหมู่บ้านขึ้นจากวัตถุดิบที่พวกเขานั้นมีกับตัวอยู่แล้ว

“กาแฟเนี่ย จริง ๆ มันมาจากความตั้งใจของชุมชนที่อยากยกระดับคุณภาพชีวิต และอยากพัฒนาความเป็นอยู่ ด้านการศึกษาของเขา เพราะฉะนั้นมันเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจ แต่สมัยนั้นมันเป็นช่วงที่ลำบากของชาวบ้าน คือเขาปลูกกาแฟได้ แต่ไม่รู้จะต่อยอดอย่างไร ฉะนั้นกาแฟที่เรามีทุกวันนี้มันจึงเกิดจากการต่อยอดสิ่งที่ชาวบ้านมีอยู่แล้วให้มันดีขึ้น”

“ผมเอาข้อมูลไปถ่ายทอดให้ชุมชนให้รู้ว่าคนกินกาแฟ เขากินอย่างไร อยากกินแบบไหน ในขณะเดียวกันเราก็เอาข้อมูลมาบอกคนที่กินกาแฟว่า คนที่ทำกาแฟ เขาทำกันแบบไหน เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล และเกิดความเข้าใจตรงกัน การพัฒนาในทางเดียวกันก็เกิดขึ้น คนกินอย่างไร คนทำอย่างไร เราไปในทิศทางเดียวกัน เพราะฉะนั้น อาข่า อ่ามา จึงเป็นเหมือนสะพานตรงกลางของสองสิ่งนี้ ระหว่างผู้ที่อยู่ต้นน้ำ และปลายน้ำ”

       สิ่งที่ลีเล่ามา อาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เรามีของดีอยู่กับตัว แต่น้อยคนนักที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านั้น ลีบอกว่าเขามีสิ่งที่ดีคือเมล็ดกาแฟอยู่กับตัวแล้ว ที่เขาต้องทำก็แค่นำมันมาต่อยอดให้ผู้อื่นสามารถมองเห็นได้

“แนวคิดของผมไม่ได้ซับซ้อนเลย แค่คิดว่าทำอย่างไรที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตชาวบ้าน โดยไม่ต้องไปเอาอะไรจากข้างนอกมาเยอะ แค่ต่อยอดจากสิ่งที่ตัวเองมี แล้วคนกินกาแฟก็จะได้รู้ด้วยว่ากาแฟไทยอร่อย ก็อาจจะมีคนถามว่า ทำไมพี่ลีต้องส่งกาแฟไปประกวด มันไม่ใช่กาแฟของผม แต่เป็นกาแฟของคนปลูกกาแฟทั้งหมดที่อยากให้โลกได้รับรู้ คนปลูกก็มีกำลังใจ ก็อยากทำต่อ”

“มันเป็นสิ่งสำคัญมากเรื่องกำลังใจ ลองคิดดูถ้าเราต้องทำงานงานหนึ่งแล้วเราขาดกำลังใจ ไม่อยากตื่นขึ้นมา ไม่อยากไปเผชิญหน้า อันนั้นลำบาก เราจะไม่เจริญ เราจะต่อยอดไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนเราอยู่ได้ด้วยกำลังใจที่หล่อเลี้ยงเรา เงินมีมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้”

เช่นกันกับทุกคนที่มีความฝัน เส้นทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งลีก็ได้เล่าประสบการณ์ของปีแรกในการขายกาแฟให้เราได้ทราบด้วย

“ปีแรกนี่เพื่อนผมมาพูดเลย ลีมันฆ่าตัวตายชัด ๆ ซึ่งลำบากมาก เพราะผมก็ไม่ได้เรียนด้านธุรกิจมา ก็ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้คนได้กินกาแฟเรา ให้รู้ว่ามันมีคุณค่า ผมก็มีสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมาทำตรงนี้ก็คือ แรงผลักดัน เราอยากทำตรงนี้ให้ชุมชนได้มีการพัฒนา เพราะทั้งชีวิตผมอยู่ในสายงานพัฒนาสังคมมาตลอด เหตุผลตอนแรกที่ผมเริ่มทำผมยังกินกาแฟไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่ผมคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้คนรู้จักกาแฟที่คนปลูกกาแฟทำ สามารถทำให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้นได้”

“เพราะฉะนั้นถึงคุณมีปัญหามากมาย แต่ถ้าคุณเห็นเป้าหมายว่าคุณทำเพื่ออะไร ไม่มีทางที่เราจะล้ม แต่ถ้าอยากทำเพราะคิดว่ามันดูเท่ ได้เงินเยอะ มีสิทธิ์จมได้นะ นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของผมที่นี่”

“ปีแรกบากลำบากมาก แต่ถ้าผมหยุดตรงนั้น วันนี้ก็อาจจะไม่มีอาข่า อ่ามา คนเราไม่ได้อยู่ด้วยเงิน เพราะฉะนั้นต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าจริงๆแล้ว เราเข้าใจตัวเองแค่ไหน เรามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำแค่ไหน คาแรกเตอร์เราชัดเจนแค่ไหน ถ้าเรามัวแต่ไปเปรียบตัวเองกับคนอื่น อยากเป็นเหมือนคนนั้น คนนี้ เราจะไม่มีความสุข มันต้องเป็นตัวของตัวเอง ต้องมีความมั่นใจ”

ดูเหมือน ‘ความชัดเจนในตัวตน’ คือสิ่งที่ลีต้องการบอกกล่าวกับเรา เขาจึงย้ำกับเราอยู่บ่อยครั้ง เพราะความชัดเจนเหล่านั้น มันย่อมส่งผลต่อการกระทำในชีวิตของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ผมอยากไปอิตาลี อยากไปอเมริกา ไปดูกาแฟ ผมก็ต้องวางแผนชีวิตผม เพราะมันชัดเจนในตัวตน มันไม่ใช่ทุกคนที่อยากไปอิตาลีเหมือนผม ไม่ใช่ทุกคนที่อยากทำกาแฟ บางคนอาจจะอยากไปเบอร์ลิน เพราะชอบในเรื่องการออกแบบ บางคนอยากไปญี่ปุ่น เพราะชอบเรื่องศิลปะ อาหาร บางคนอยากไปจีนเพื่อไปดูความยิ่งใหญ่ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่บังคับกันได้ ไม่ใช่ว่าเราไปบังคับให้คนอื่นให้ทำเหมือนที่เราทำ มันไม่ได้ มันอยู่ที่เรา เราจะให้ตัวเองเป็นยังไง”

“สุดท้ายมันไม่ได้สำคัญว่าเรามาจากไหน แต่สำคัญที่ว่าเราทำอะไรได้บ้าง เราอยากเป็นอะไร เรากำลังทำอะไร”

แน่นอนว่าความสำเร็จในชีวิตย่อมนำมาซึ่งชื่อเสียง เงินทอง หลายสิ่งหลายอย่างใหม่ๆผ่านเข้ามาในชีวิต และอาจรวมไปถึง ความเย่อหยิ่ง ความกดดัน ความไม่เป็นตัวของตัวเอง ในประเด็นนี้เราได้ถามลี เพราะเขาคือหนึ่งบุคคลที่เริ่มต้นจากศูนย์ จนกระทั่งเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากความชัดเจนในตัวตนและเป้าหมายของเขา ซึ่งลีได้เปรียบเปรยให้เราได้ฟังเช่นกัน

“ถามว่ากลัวไหม สิ่งภายนอกกระทบไหม แน่นอนมันกระทบ แต่อย่างที่บอก เราต้องย้อนกลับไปถามว่าความพอดีมันอยู่ที่ไหน แล้วที่ผมเน้นตลอดคือเราอยากให้ตัวเองเป็นอะไร มันไม่มีใครบังคับเราได้ เพราะเราไม่มีใจ ผมเปรียบให้ฟังว่าวันแรกที่เราข้ามถนนเรากลัวไหม เราทุกคนย่อมกลัว กลัวที่จะโดนรถชนตาย แต่ทำไมทุกวันนี้เราข้ามได้สบายล่ะ มันเกิดจากความเคยชิน ความชำนาญ เกิดจากการที่เรารู้ว่าต้องมองซ้าย มองขวา ดูว่ามีอะไรมาหรือเปล่า มันก็คือการวางแผนนั่นเอง ไม่ใช่ว่าเดินสะเปะสะปะไปให้รถชนตาย”

“ถ้าถามว่าทำไมผมไม่หลง คือมันอยู่ที่มุมมองของเราว่าหลงหรือไม่หลงยังไง เพราะหลายๆครั้งมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ผมหวัง แต่มันก็ผ่านมาได้ เพราะว่าเรามีหลัก เป็นหลักที่มั่นคงว่าเรามาทำอาข่า อ่ามาเพราะอะไร เพราะอยากให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดี เราชัดเจนในตัวตน ความคิด ตั้งแต่เราตัดสินใจออกมาจากบ้าน เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เรา take character เนี่ยมันชัดเจน มันคือ Character ของเรา มันคือตัวตนของเรา มันไม่มีใครมาก็อปปี้เราได้ นี่แหละคือจุดที่บางทีเราตอบไม่ได้หรอกว่าหลงหรือไม่หลง มันอยู่ที่ว่าเราชัดเจนในตัวตนแค่ไหน”


       “ตัวตนของเรานั่นแหละ คือความสุข”

เราพอจะทราบแล้วว่าตัวตนของเรา คือสิ่งที่เราต้องสร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่การไปลอกเลียนแบบใคร ลีได้สอนเราว่า หากเป็นเช่นนั้น เมื่อเราใช้เวลาไปกับมันนานเข้า ตัวเราจะไม่มีความสุขเลย ในส่วนที่มาของกาแฟ เราได้ทราบแล้วว่ามีความเป็นมาอย่างไร ในฐานะผู้บริโภค เราอาจมองเพียงว่ากาแฟ อาข่า อ่ามา เป็นกาแฟที่ดีระดับโลก และเป็นกาแฟไทยที่รสชาติเยี่ยม แต่นอกเหนือจากนั้น เราเริ่มสนใจในมุมกลับ ในฐานะของผู้ผลิต เรานึกถึงสิ่งที่ลีได้พูดคุยกับเราไปเมื่อตอนต้นถึงเรื่อง ‘ความยั่งยืนทางอาหาร’ เราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจและใกล้ตัวไม่ใช่น้อย เราจึงอยากทราบเพิ่มเติมว่าในส่วนของกาแฟ อาข่า อ่ามา หรือในฐานะผู้ผลิตอาหาร ลีมีทิศทางอย่างไรบ้างกับเรื่องพวกนี้

“ความจริงสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมทำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เรื่องความยั่งยืนทางเกษตรหรือทางอาหารเนี่ย แต่สิ่งที่ผมจะทำมากขึ้นต่อไปคือการให้ความรู้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ผมก็มีแพลนที่จะทำคือศูนย์อบรมที่แม่ริมสำหรับคนที่ปลูกกาแฟ และคนที่กำลังเริ่มทำเกี่ยวกับกิจกรรมเพื่อสังคม โดยนำวัตถุดิบที่ผลิตจากชุมชนไปกระจายจำหน่ายในแต่ละชุมชนให้มีรายได้ มีความยั่งยืน”

“ในขณะเดียวกัน ความรู้ที่เราจะถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ เขาก็ต้องเป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องความสำคัญของชุมชน ความสำคัญของความรู้ในพื้นถิ่น องค์ความรู้ในเรื่องของพืชพื้นถิ่นด้วย”

เมื่อเราพูดคุยผ่านบทสนทนาเหล่านี้ เราอาจมองลีในแง่ของบุคคลที่คิดว่าเรื่องพื้นๆ คือเรื่องสำคัญที่สุด แต่ตรงจุดนี้ ลีได้บอกกับเราว่าในเรื่องโลกของวัตถุก็จำเป็นต้องพัฒนาเช่นกัน เพียงแต่ต้องไม่ลืมเรื่องพื้นฐานด้านจิตใจมนุษย์ด้วย

“ในทางตรงกันข้าม ผมไม่ได้ต่อต้านในเรื่องของการพัฒนาที่เป็นวัตถุนะ แต่ในขณะเดียวกันเราไม่ควรจะลืมเรื่องการพัฒนาในเรื่องจิตใจของคน มันควรจะไปด้วยกัน”

“ในอดีตเราอยู่กันเป็นหมู่บ้าน เป็นตำบล ทำพืชผักสวนครัว ใครปลูกอะไรได้ก็มาแบ่งปันซึ่งกันและกัน แต่ปัจจุบันเรามีรั้วสูง กำแพงหนาที่กั้นเราออกจากเพื่อนบ้าน กิ่งไม้ยื่นเลยมาหน่อยเดียวก็ไม่ได้แล้ว ต้องตัดทิ้ง คำว่าพืชผักสวนครัวในปัจจุบันเลยเป็นแค่ทฤษฎีสวยหรูที่มีในหนังสือเรียนแค่นั้น แต่เราไม่ได้เข้าใจมันจริง ๆ ”

มาถึงตรงนี้เราพอจะมองเห็นแล้วว่านอกจากกาแฟที่เขารักแล้ว สายตาและความคิดของเขายังคิดถึงความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมด้วย เขาคือคนที่มองเห็นในสิ่งที่คนส่วนใหญ่อาจมองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก จนไม่เคยสังเกตและไม่เคยตั้งคำถาม อย่างเช่นเรื่องง่ายๆอย่างชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมปัจจุบันที่อาศัยในชุมชนเดียวกัน เราอาจได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนบ้านก็จริง แต่ในการแสดงออกแท้จริงแล้ว เราอาจเป็นคนแปลกหน้ากันก็ได้

       เราถามเขาถึงเป้าหมายสูงสุดในชีวิต หรือความฝันที่เขาต้องการทำต่อจากนี้ แน่นอนคำตอบที่ได้ย่อมแสดงออกถึงตัวตนของคนตอบ อย่างที่ลีพูดกับเราเสมอ ๆ ในบทสนทนาที่ผ่านมา

“เป้าหมายของผมคืออยากเดินทางรอบโลก ไปสถานที่ที่เขาทำกาแฟ ปลูกกาแฟ ไปดู ไปศึกษาวิธีทำ และเดินทางไปยังสถานที่ที่มีผู้บริโภคกาแฟ และนำสิ่งที่ได้มาต่อยอด ที่สำคัญ ผมจะนำกลับมาพัฒนาชุมชน ให้เขาสามารถยืนหยัดด้วยตนเอง และมีการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ครับ”

       เราขอให้ลีทิ้งท้ายให้ผู้อ่านได้รับทราบถึงหลักในการดำเนินชีวิตของเขา ลีบอกกับเราพร้อมรอยยิ้มจริงใจตามแบบฉบับที่น่ารักของผู้คนที่มาจากบนดอยว่าความชัดเจนในตัวตน และการมองโลกในแง่ดี สำคัญที่สุด

“อย่างที่ผมบอก เราต้องรู้จักตัวเองก่อน รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรได้ และดึงศักยภาพของเราออกมาให้หมด ความชัดเจนจะนำเรามุ่งไปข้างหน้า แน่นอนว่าต้องพบเจอปัญหา แต่ผมขอให้เรามองโลกในแง่ดี เพราะเมื่ออุปสรรคเข้ามา เราจะสามารถปล่อยวางได้ เราจะค่อย ๆ ถอยออกมาและมองหาวิธีแก้ไข โดยไม่ต้องไปหมกมุ่นกับมัน”

โลกเราปัจจุบันพัฒนาไปไกล หลายครั้งเราหมุนวนไปกับกระแสของโลกเหล่านั้นจนละเลยสิ่งใกล้ตัว ลีคือตัวอย่างที่ดีที่ได้ทำในสิ่งที่เขารัก และไม่เคยที่จะลืมชุมชนที่เขาเติบโตมา เราทุกคนมีความสามารถ มีศักยภาพที่จะทำสิ่งใดก็ได้ เพียงแต่เราต้องใช้เวลาที่จะค้นพบตัวตนของเราจริง ๆ เสียก่อน มิฉะนั้นอาจเป็นการเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ได้มีความหมายกับชีวิตเราจริง ๆ และยิ่งไปกว่านั้น มันอาจไม่ได้สร้างสิ่งที่ดี และมีค่าอะไรให้กับสังคมเลย หากเราค้นพบตัวตนเราแล้ว แน่นอนว่ามันจะพาเราทะยานไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีทิศทาง เฉกเช่นเมล็ดกาแฟ ที่นำลีมาไกลจากหมู่บ้านเล็ก ๆ บนดอย สู่เวทีกาแฟระดับโลก

ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่ควรละเลยคุณภาพชีวิตที่ดีของเราด้วย เราเดินไปตามกระแสน้ำของเวลาและวัตถุที่ไหลไปด้วยความเร็วและแรง สิ่งใหม่เกิดขึ้นมากมายในสังคมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันอาจเป็นความสุขที่ฉาบฉวยและไม่ยั่งยืน คำตอบบางจุดในบทสนทนาของลีวันนี้อาจทำให้เราได้ฉุกคิดขึ้นมาได้บ้างว่า ความสุขที่เราตามหา บางทีมันง่ายแสนง่าย เพียงแค่เรารู้จักตัวเราดีพอ และไม่ลืมที่จะหันหลังกลับไปมองชุมชนที่เราอาศัยอยู่หรือที่เราจากมา กระทั่งเริ่มสนใจเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน พื้นฐานในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเราที่สัมพันธ์กับสังคม และชุมชนนี่แหละ อาจเป็นคำตอบให้เราค้นพบความสุขที่แท้และยั่งยืนได้

คุณรู้หรือไม่เกี่ยวกับ อายุ จือปา (ลี)

1. ลี ได้ถูกเชิญขึ้นพูดในเวทีของ TEDx Chiangmai  ในหัวข้อ Journey to Akha Ama Coffee” เมื่อเดือนพฤศจิกายนในปี 2556

2. ในปี 2554 กาแฟอาข่า อ่ามา ได้ถูกรับคัดเลือกโดยสมาคมกาแฟชนิดพิเศษแห่งยุโรป เพื่อใช้ในงานการชิมกาแฟนานาชาติ ในประเทศเนเธอร์แลนด์

3.  ในช่วงเดือนพ.ย. – ธ.ค. ไร่กาแฟอาข่า อ่ามา มักจะเปิดให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศได้ไปศึกษาวิธีการทำไร่กาแฟ ที่อำเภอแม่สรวย เชียงราย

  • Info : ร้านกาแฟอาข่า อ่ามา (สาขา 1)
  • ที่ตั้งร้าน : 9/1 มาตาอพาร์ตเมนต์ ซอย 3 ถ.หัสดิเสวี ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่
  • เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน ยกเว้นวันพุธ เวลา 08.00 – 18.00 น.
  • โทร : 086-915 8600

เรื่องราวชีวิตของ  Humans of  Chiang Mai คนต่อไปจะเป็นใคร ติดตามกันได้ที่นี่ และถ้าหากใครมีบุคคลแห่งแรงบันดาลใจที่อยากแนะนำ ก็อย่าลืมแวะมาเม้นท์มาแชร์ให้เราได้รู้ตามช่องคอมเม้นท์ด้านล่าง หรือ
  
เจ๋งจะได้ตามไปเจาะลึกกันอย่างทันท่วงที ราตรีสวัสดิ์ครับพี่น้องชาวเชียงใหม่

Relate Posts :