“เคยตกหลุมรักบางสถานที่หรือบางคนแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่ามั้ย ?”
“เชียงใหม่” จังหวัดที่ใครๆก็ไป บางคนเคยไปแค่ครั้ง 2 ครั้ง แต่บางคนกลับไปปีละหลายครั้ง บ่อยซะจนคิดว่าใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น คงเพราะความลงตัวของวัดวาอารามตามท้องถนน ที่สามารถเข้าได้เป็นอย่างดีกับร้านกาแฟฮิปๆ โรงแรมชิคๆรอบตัวเมือง และเมื่อก้าวขาออกไปรอบนอก ก็จะพบกับบรรยากาศชิลๆ ถนนที่เห็นวิวทุ่งนา เหวลึกที่ขนาบข้างภูเขาสูง ดอกไม้ในป่ากว้าง หรือแม้กระทั่งชาวเขาหน้าเปื้อนยิ้ม อยากเจออะไรล่ะ ที่นี่มีให้เจอหมดทุกอย่าง
ทำไมต้องไปบ่อยๆ ทำไมต้องไปที่เดิมซ้ำๆ ก็เพราะการเดินทางในแต่ละครั้ง เราไปด้วยความรู้สึกต่างกัน เราไปหาประสบการณ์ใหม่ๆกับสถานที่เดิมบ้าง ใหม่บ้าง บางครั้งไปกับตัวเอง บางครั้งไปกับคนแปลกหน้า และในบางครั้งก็มีโอกาสไปกับคนที่พร้อมจะเดินทางไปกับเรา แค่คิดจะก้าวขาออกไปจากที่ๆยืนอยู่ แค่หัวใจมีพลัง แค่ทบทวนและหาเวลาให้ตัวเอง แค่เริ่มก็มีความสุขแล้ว เคยได้ยินใครบอกมั้ย สถานที่เดิมๆอาจทำให้เราหลง(ใหล) ในขณะที่ความทรงจำใหม่ๆอาจทำให้เราหลง(รัก)
(เชียงใหม่ – สะเมิง) ทริปนี้มีเวลาน้อย เอาจริงๆคือมีเวลาเที่ยวเชียงใหม่แค่ 2 วัน เพราะต้องเดินทางจากกทม.ในคืนวันศุกร์ที่ 12 ก.พ. และกลับคืนวันที่ 14 ก.พ. (ลางานไม่ได้) อีกอย่างเป็นทริปที่ไม่คิดว่าจะได้มา แต่เมื่อมีโอกาสแล้วเราก็ต้องทำมันให้ดีที่สุด เดินทางช่วงวันวาเลนไทน์อย่างตั้งใจ แถมอากาศกลับมาเย็นอีกรอบ เอาล่ะหว่า…ใครๆคงไปเชียงใหม่กันเพียบแน่ เป็นไงเป็นกันละกัน! เราวางเเผนการเดินทางในวันแรกจาก “เมืองเชียงใหม่” ไป “สะเมิง” เราพร้อมเก็บทุกสถานที่ที่อยากไประหว่างทางให้ครบ ออกจะเป็นการเดินทางที่โหด แต่โปรดปรานการเที่ยวแบบนี้มาก
1. เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม
เห็นใครๆก็ไปกัน เราเลยขอเดินตามรอยสักหน่อย “Meena rice based cuisine” คุณคือเป้าหมายแรกของเรา ได้ยินชื่อร้านนี้มาซักพัก จากรูปข้าวสีธงชาติและอาหารเมนูสุขภาพ ที่จัดจานด้วยดอกไม้ ผลไม้ ที่ทำให้คนที่ไปมาต้องถ่ายรูปอวดจานสวยๆแทบทุกคน เราเลยอยากไปดูบ้างว่าจะสวยแค่ไหน อร่อยเหมือนที่คิดไว้มั้ย ทางร้านตกแต่งสไตล์บ้านไม้ในสวน บรรยากาศร่มรื่น แถมมียุ้งข้าวแบบล้านนาไว้คอยเรียกแขก น้องๆพนักงานก็อัธยาศัยดีทุกคน
ก่อนที่จะเข้ามาในร้าน เราเข้าไปในแฟนเพจก่อนเพื่อจะดูว่ามีอะไรน่าทานบ้าง จานแรกที่เราเล็งไว้คือ กุ้งชุปข้าวโอ๊ต จานที่สองจากเมนูแนะนำ ห่อหมกอันดามัน ส่วนตัวเราเป็นคนชอบห่อหมกมาก ไปที่ไหนก็ต้องสั่ง เลยขอลองซะหน่อย ส่วนจานที่สาม สั่งจากเมนูแนะนำเหมือนเดิม ผักเหลียงต้มกะทิกุ้งสด สั่งไปก็นึกขึ้นได้ ใบเหลียงมันของใต้นี่นา มากินเชียงใหม่จะอร่อยมั้ยหว่า ? ได้ครบทั้งสามจาน ไม่ลืมสั่งข้าว 5 สี กับข้าวธงชาติมา หน้าตาเลยออกมาเป็นแบบนี้
บรรยากาศรอบๆร้านมีนาร่มรื่นมาก ตรงทางเข้ามีร้านขายเสื้อผ้าและของที่ระลึกด้วย เจ้าของร้านบอกว่า ลูกสาวเป็นคนวาดลายเสื้อแล้วให้แม่ปัก เป็นงาน Hand Made ทั้งหมด ใครชอบไปอุดหนุนได้เลย
2. กินคาวไม่กินหวาน…… (ประโยคหลัง เติมเอาเอง)
อิ่มจากของคาวที่ร้าน Meena แล้วขับรถย้อนออกมาไม่ไกลกันมากนัก มีร้านกาแฟบรรยากาศสบายๆอีกหนึ่งร้านที่น่าสนใจ “ร้านใจบุญ (Jaiboon)” ร้านกาแฟและเบเกอร์รี่ ลักษณะร้านเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว มีสวนเล็กๆนั่งเล่นหน้าบ้าน ของตกแต่งร้านก็ดูลงตัวไปหมด ที่นี่เน้นชีสเค้กเป็นหลัก แต่สำหรับเราตอนนี้ ชีสเค้กไม่ไหวจะยัดลงพุง เลยสั่งอะไร Soft Soft มานั่งชิลและดื่มด่ำกับบรรยากาศของที่นี่ อเมริกาโน่ร้อน กับ ไอศครีมชาเขียว เป็นตัวเลือกที่ดี
3. ความทรงจำระหว่างทางสำคัญไม่น้อยกว่าปลายทาง
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศจากร้านในตัวเมืองที่เราปักหมุดไว้ ด้วยเวลาที่มีไม่มาก ตอนนี้เลยได้เวลาออกเดินทางไปสะเมิง แน่นอนว่าถ้าพูดถึงอำเภอนี้ ก็ต้องนึกถึงเทศกาลสตรอว์เบอร์รี่ผลไม้แสนโปรดของเรา จะรอช้าทำไม มุ่งหน้าไปเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆกันดีกว่า เราพยายามหาร้านน่ารักจากกระทู้แนะนำหลายๆกระทู้ ว่าไปสะเมิงจะต้องไปร้านไหน สุดท้ายก็มาจบที่ร้านนี้ “เสพศิลป์ กลิ่นกาแฟบ้านนอก เชียงใหม่” ร้านกาแฟที่มีโต๊ะไว้คอยรับแขกเพียบ ร้านแต่งเหมือนเป็นร้านเหล้ามากกว่าร้านกาแฟซะอีก แถมรถจอดหน้าร้านเต็มไปหมด
ร้านนี้เป็นร้านกาแฟกึ่งร้านเหล้า คือใครอยากดื่มอะไรก็ได้แหละ เราไปตอนบ่ายต้นๆพอดี เอ…ไหนคืออากาศหนาวที่เราอยากเจอ แย่แล้ว! อากาศร้อนจนไม่รู้ว่ามันจะมีอากาศหนาวๆให้สัมผัสมั้ย ชักเริ่มเครียดกับเสื้อผ้าที่อุตส่าห์เตรียมมา ธีมหน้าหนาวอันสดใสของชั้น (พึมพำในใจเบาๆ) เราสั่งแตงโมปั่นและกาแฟอีกเหมือนเคย “เชิญเลือกโต๊ะนั่งได้เลยครับ” ป้ายข้างๆบาร์แปะบอกไว้ว่าทุกอย่างบริการตัวเอง จะสั่งอะไรให้ถือไปด้วย กินเสร็จก็เอามาเก็บ ที่นี่เปิด 10 โมง แต่เวลาปิดขึ้นอยู่กับอารมณ์ (โอ้ว~ จะแนวไปไหน)
โดยไม่รอช้า รีบเดินไปด้านล่างกะจะนั่งในลำธาร ปรากฎว่าคนเพียบเลย ยังดีที่ได้โต๊ะนั่ง “เมื่อเธอทุกข์ใจให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ” วัชราวลีบอกไว้ เราเลยทำตาม ใส่ผ้าใบมา ต้องถอดรองเท้า แต่ตอนขึ้นจะขึ้นยังไง แล้วล้างเท้าที่ไหน converse คู่เก่งเน่าเเน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ยอม…อุตส่าห์มาถึงที่นี่ ไม่จุ่มได้ไงเนอะ จุ่มปุ๊บเย็นปั๊บ ฉดชื่น~ ดื่มด่ำบรรยากาศยังไม่ทันหมดแก้ว ต้องรีบไปแล้วล่ะ เดี๋ยวถ่ายรูปแสงเย็นที่ “หลองข้าวสะเมิง” ไม่ทัน ที่นั่นคือจุดหมายปลายทางในฝันของเรา
4. ที่นี่ที่ไหน .. ใช่ที่รักรึเปล่า
“สะเมิงเองไง” จำไม่ได้เหรอ จริงๆแล้วสะเมิงไม่ได้ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่เลย การเดินทางก็สะดวก แถมมีจุดแวะพักให้เที่ยวเล่นตลอดทาง ไม่เหมือนการเดินทางไกลเลย แต่เหมือนเป็นการเรียนรู้เส้นทางท่องเที่ยวสายใหม่มากกว่า พอมาถึงตัวอำเภอสะเมิง ก็พบว่าถนนเส้นหลักที่ใช้เดินทางในวันนี้ ได้ถูกนำไปจัดงานเทศกาลสตรอว์เบอร์รี่และของดีอำเภอสะเมิงพอดิบพอดี ซึ่งแน่นอนเราจะมาแวะเที่ยวกัน แต่ขอเข้าไปเก็บสัมภาระ เปลี่ยนเสื้อผ้า check in ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน
และในที่สุดเราก็มาถึง “หลองข้าวสะเมิง” รีสอร์ทที่เต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ กับวิถี Slow Life ท่ามกลางทุ่งนาข้าวสาลี สายหมอก และขุนเขา คือขณะที่จินตนาการน่ะคิดถึงภาพสายลมและแสงแดดอ่อนๆ แต่พอเดินลงมาจากรถตอน 4 โมงเย็น ทำไมแดดยังเปรี้ยงขนาดนี้ โอยๆเริ่มท้อ แต่หลังจากที่คุยกับคุณป้าที่คอยต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองแล้ว คุณป้าย้ำว่า “เดี๋ยวเย็นๆอากาศก็ดีหนู กลางคืนก็หนาว เมื่อคืนยัง 13 องศาเลย” ไม่รอช้าแล้ว รีบเดินไปที่ห้องพักดีกว่า
ภายในห้องนอนไม่กว้างมาก แต่สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ถือว่าโอเคสำหรับการนอนสองคนเตียงไม่มีขา น่าจะไม่กลิ้งตกเตียงคืนนี้นะ แวะเอาห้องนอนมาให้ดูก่อน หลังจากนี้ขอไปเดินเล่นเทศกาลสตรอว์เบอร์รี่ ซื้อของฝากเพื่อนๆที่ออฟฟิศซะหน่อย
เดินชมโซนสตรอว์เบอร์รี่จนครบ ก็พบกับเวทีที่ทางอำเภอจัดการแสดงของเด็กๆมาโชว์ รู้สึกว่าจะเป็นการร้องเพลงประกอบลีลา มีคนแก่บางคนลุกขึ้นเต้นด้วย บรรยากาศน่ารักดี เสียดายไม่ได้ถ่าย เพราะมัวแต่ดมกลิ่นของกินไง
เราเดินมาเจอ “ไข่ป่าม” ไข่หน้าตาประหลาดที่เราสงสัยว่ามันคืออะไร มีหลายร้านที่ขาย แต่เดินมาเจอร้านนึงน้องๆนักเรียนมาขาย คอยช่วยกันเรียกลูกค้าตลอด”ไข่ป่ามไหมคะ ไข่ป่าม กินแล้วได้ทำบุญด้วย” เราอดสงสัยไม่ได้เลยถามไป คุณครูที่มาด้วยเลยตอบว่า “ถ้าซื้อไข่ป่ามกับเราก็เหมือนได้ช่วยน้องๆไปด้วย 3 อัน 20 บาทเองค่ะ ลองชิมนะคะ” จัดสิคะ ไข่ป่าม ไข่ย่างบนใบตองเป็นอาหารที่คนทางภาคเหนือจะรู้จักกันดี ทำกันง่ายๆ ใส่ตะไคร้ พริก กระเทียม เกลือลงไป พลิกไปพลิกมา กลิ่นยังติดจมูกอยู่เลย พูดแล้วหิว
5. ได้เวลาสูดอากาศบริสุทธิ์
กลับจากไปเดินเล่น พร้อมขนสตรอว์เบอร์รี่ 5 กล่องไว้ไปฝากคนที่ออฟฟิศ ก็ได้เวลา 5 โมงเย็น แดดอ่อนๆอุ่นๆพอดี ทันทีที่จอดจักรยานและเก็บข้าวของแล้ว ก็รีบกระโดดเข้าไปบนทุ่งนาข้าวสาลีที่เหมือนกำลังอ้าแขนต้อนรับเราเข้าไป ลมเย็นๆเริ่มพัดมาเเล้ว โชคดีจังเลยที่หลองข้าวสะเมิงอยู่ฝั่งพระอาทิตย์ตก แสงแดดสาดมาจากหลังเขาแบบนี้ โรแมนติกชะมัด รีบกดชัตเตอร์แข่งกับเวลาก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า หน้าหนาวพระอาทิตย์ตกเร็วด้วย
พอแดดเริ่มหมด อากาศก็ยิ่งเย็น บรรยากาศแสนดีเริ่มมา สถานที่สวยงามจะไม่น่าจดจำ ถ้าเราไม่มีความทรงจำดีๆกลับมาด้วย มาดูบรรยากาศตอนโพล้เพล้ใกล้ค่ำกันบ้าง แสงหมดแล้ว ได้เวลาไปหาอะไรร้อนๆใส่พุง คุณป้าบอกว่าใกล้ๆรีสอร์ทมีร้านหมูกระทะ เลยรีบเดินออกไปเพราะเริ่มค่ำ อากาศก็ยิ่งหนาว แต่เดินเท่าไรก็ไม่เจอซักที เลยเเวะถามลุงเเถวนั้น ลุงบอกว่า นู่นน อยู่ตรงนู้นนน ระยะของแขนที่เปิดกว้างทำให้เราตัดสินใจกลับไปเอาพาหนะอันเป็นที่รัก ปั่นๆจักรยานไปกินหมูกระทะ อิ่มแบบสบายๆเลยคืนนี้ ไม่ทันไรก็เช้า อยู่บนที่นอนไม่ไหวเเล้ว อากาศดีจนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อย่าแปลกใจว่าทำไมไม่อาบน้ำ! หนาวขนาดนี้ จะอาบให้ผิวแห้งไปทำไมกัน เหงื่อก็ไม่ออก ล้างหน้าแปรงฟันก็พอ
6. เราจะคิดถึงวันที่สวยงามเมื่อเวลาผ่านไป
7. จงอยู่ในที่ที่ทำให้เรายิ้มได้
8. ไกลแค่ไหนคือใกล้
9. จะเก็บเธออยู่ในใจเสมอ
ขอบคุณ เรื่อง : http://pantip.com
Facebook : NoTee Preeyanut, Sabtarin Eos
Instagram : littlenotee
เรียบเรียง Review Chiangmai
ท่านใดมีสถานที่ท่องเที่ยวเส้นเชียงใหม่ – สะเมิงและแม่ริมเจ๋งๆ แนะนำเข้ามาได้ อย่าลืมแวะมา Comment มาแชร์ให้เจ๋งได้รู้ตามช่องด้านล่างหรือ
เจ๋งจะตามไปรีวิวอย่างทันท่วงที