หางโจวเมืองที่คุ้นชื่อแต่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของจีน วันนี้มีโอกาสไปเยือนเพราะ Air Asia เขาเปิดบินตรงเส้นทางเชียงใหม่ถึงสนามบินนานาชาติหางโจวกันแล้ว เราไม่รอช้ารีบไปยื่นเรื่องทำวีซ่าที่สถานกงสุลจีนกันเลย แถมยังเลือกที่จะไปหน้าหนาวอยากรู้ว่าเมืองจีนจะหนาวแค่ไหน ปรากฎว่าสุดๆๆใครไปหน้าหนาวบอกเลยต้องเตรียมตัวไปให้ดีหนาวมาก ไปเที่ยวครั้งนี้จะพาเข้าไปเที่ยวดูมหาลัยเจ้อเจียงด้วย เราว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับพ่อแม่ที่อยากส่งลูกไปเรียนต่อเมืองนอก หรือใครที่สนใจอยากเรียนภาษาจีนระยะสั้น ติดใจจะอยู่เป็นปีลงเรียนระยะยาวก็ได้ ที่สำคัญคือก็บินไปมาสะดวกใช้เวลานั่งเครื่องไม่นาน 3 ชม.กว่าจากเชียงใหม่ก็ถึงหังโจว อยู่เที่ยวได้สองสามวันก็นั่ง รถไฟความเร็วสูงหางโจว แค่1 ชั่วโมงก็ถึงเซี่ยงไฮ้ ได้ไม่ยากฝ่าดงพี่จีนลุยหน่อยก็จะตั๋วรถไฟ เอาละแล้วพร้อมแล้วตามมาเที่ยวกันเลย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เที่ยวที่หางโจว
• วีซ่าไปจีน
การทำไม่ยุ่งยากเลย สิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมคือ ใบจองโรงแรมและใบจองตั๋วเครื่องบิน พร้อมพาสปอร์ตที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่าหกเดือน เอกสารอื่นก็ทั่วๆไปแต่สามอย่างนี้จะเป็นตัวชี้ขาด อย่าลืมติดรูปถ่ายหน้าชัดๆขนาด 2 นิ้วในแบบฟอร์มด้วย หลังจากนั้นสี่วันเตรียมเงินค่าธรรมเนียม 1000 บาทไปรับวีซ่าได้เลย ที่เชียงใหม่เรายื่นที่สถานกงสุลจีนอยู่เลยสยามทีวีไปนิดเดียว
จอดรถต้องขับเลยไปนิดนึงแล้วเดินย้อนมา
ห้องวีซ่าเลี้ยวซ้าย เปิดบริการ 09.00-11.30 เท่านั้น รีบไปแต่เช้าจะดี
บินลำนี้แหละ #แอ่วจีนอินเทรนด์ กับแอร์เอเซียอาหารบนเครื่องอร่อยครับพูดเลย
• ทำอย่างไรเมื่อไปถึงหางโจว
หางโจวเป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang) เป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของประเทศจีน มีประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ยาวนาน ทั้งยังเป็นเมืองที่ทันสมัย มีสนามบินนานาชาติ ห้างสรรพสินค้า เรียกว่าเป็นเมืองที่ผสมผสานความเก่าและใหม่ไว้อย่างลงตัว
นั่ง AirAsia จากเชียงใหม่ (มีวันละ 1 เที่ยว) เครื่องออกประมาณหกโมงเย็นไปถึงสนามบินหางโจวเกือบเที่ยงคืน (เวลาเร็วกว่าบ้านเราหนึ่งชั่วโมง) อากาศหนาวปะทะทันทีต้องเปิดกระเป๋าเอาเสื้อตัวใหญ่ออกมาสวม รถเมล์ไม่มีแล้ว ต้องแท๊กซี่เข้าเมืองเท่านั้น ตรงทางออกจะมีจุดรอแท๊กซี่อยู่ ให้ไปเข้าคิวตรงนั้น ระหว่างรอจะมีแท๊กซี่เถื่อนมาถามเหมาเข้าเมืองด้วยราคา 200 หยวน “ไม่ต้องไป” เพราะนั่งแท๊กซี่มิเตอร์รวมค่าทางด่วนแล้วจะเสียเพียง 150-165 หยวนเท่านั้น ถ้าสื่อสารกับคนขับไม่รู้เรื่องให้ยื่นใบจองโรงแรมให้เขาดู (อย่าลืมปรินท์ใบจองทั้งหลายติดตัวไปด้วย)
ขึ้นแท๊กซี่ครั้งเดียว นอกนั้นรถเมล์ไม่ก็รถไฟฟ้าประหยัดค่าเดินทางได้เยอะ
มาถึงป้ายรถเมล์ พยายามถามคน เปิดหนังสือแปลภาษาก็ยังเอาไม่อยู่ คนจีนก็พยายามจะช่วย
สุดท้ายต้องหัดดูป้าย วงสีแดงคือป้ายที่เราอยู่ รถจะวิ่งไปตามลูกศร
นั่งชมเมืองไปเรื่อย ถนนที่หางโจวจะล้อมทะเลสาปซีหู
• ชีวิตตามท้องถนนเมืองจีน
ตามสี่แยกค่อนข้างวุ่นวาย มีสัญญาณไฟให้คนข้ามถนนแต่คนก็ไม่ค่อยจะรอกันสักเท่าไหร่ อาศัยเดาใจกันมากกว่าเหมือนทุกคนบนถนนรู้ใจสื่อถึงกันได้อย่างประหลาด ทุกสิ่งบนท้องถนนไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถยนต์ รถพ่วง รถมอเตอร์ไซค์และคนเดินถนนคือ เท่ากันหมด ไม่มีใครหลบใครให้เสียเวลา นับว่าเป็นเมืองที่อินดี้มาก ผู้คนชาวจีนที่เราเจอที่เมืองไทยนี่คือจัดว่าเรียบร้อยแล้ว คนตะโกนคุยกันโหวกเหวกจัดเป็นเรื่องธรรมดามาก ยิ่งคุยโทรศัพท์เสียงจะยิ่งดังกว่าปกติมาก แถมให้อีกอย่างคือพี่จีนชอบทิ้งของลงพื้นจริงๆ นั่งกินข้าวในร้าน (ข้างทาง) เขาทิ้งทุกอย่างลงพื้นจริงๆ ทั้งเขี่ยบุหรี่ ก้นบุหรี่ ทิชชู่ ตะเกียบ เศษอาหารถือเป็นเรื่องปกติของเขาอย่าได้แปลกใจ
อีกอย่างคือเรื่อง “การบีบแตร” คนที่นี่บีบแตรกันเยอะมากไม่ว่ารถเล็กหรือรถใหญ่ เอะอะก็บีบแตรไว้ก่อน เดินดีๆไม่ได้ไปขวางอะไรเขาก็บีบ บีบจนเราชินตอนแรกสะดุ้งหลังๆมาไม่รู้สึกอะไรละ บีบเลยกูไม่สนไม่หันไปมอง อีกเรื่องคือการถ่มน้ำลายกับการสูบบุหรี่ คือทำใจได้เลยว่าเดินๆไปต้องเหยียบน้ำลายใครสักคน คุณไม่มีวันหลบพ้น มันมีทั่วไปหมด เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ คือพี่จีนเขาสูบได้ทุกที่นะครับ ป้ายรถเมล์ ใน
ร้านอาหาร (ห้องกระจก) ย่านถนนคนเดิน บริเวณที่มีลูกเล็กเด็กแดง เขาสูบได้ทุกที่ อินดี้มากครับวัฒนธรรมของเขา
การเดินทางนั้นแน่นอนว่าคนอ่านภาษาจีนไม่ออกอย่างเราต้องเจอปัญหาแน่นอน จะให้ขึ้นแท๊กซี่ตลอดก็ไม่ไหวแต่ละครั้งไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยห้าสิบหยวน ดังนั้นต้องรถเมล์ไม่ก็รถไฟฟ้า (หางโจวมีรถไฟฟ้าแค่สายเดียวยังไม่ครอบคลุม) ปัญหาคือแล้วจะขึ้นรถเมล์สายไหน คำตอบของปัญหานี้คือ “Google Map” มันสะดวกมาก เพียงคุณพิมพ์ชื่อเป้าหมายที่ต้องการลงไป มันจะ Track หาเส้นทางพร้อมคำนวนระยะเวลาให้เองว่าควรไปทางไหนยังไง พอเราเลือกเป็นรถประจำทางมันก็จะบอกว่าต้องไปขึ้นสายนี้แล้วไปต่ออีกสายที่ป้ายนี้ๆ สะดวกมากใช่มั้ย แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ จีนเขาบล๊อกหมดทั้ง Google, Facebook, Line, IG คืออะไรที่ไทยเราเล่นกันพี่จีนบล๊อกหมด ดังนั้น เราต้องใช้เน็ตที่ไทยแทนด้วยการเปิดโรมมิ่งกับค่ายมือถือที่เราใช้งานอยู่ จะส่งผลให้เวลาเล่นเราจะเล่นเน็ตเสมือนหนึ่งว่าเราใช้เน็ตของเมืองไทย การเข้าเว็บต่างๆจึงทำได้ปกติ ค่าบริการโรมมิ่งแล้วแต่โอเปอร์เรเตอร์ ราคาส่วนมากจะใกล้เคียงกันคือ ประมาณสองพันบาทต่อระยะเวลาการใช้งานห้าวัน
รถที่จีนส่วนมากเป็นรถราคาแพง คนทั่วไปใช้บริการขนส่งสาธารณะ
• บุกมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง
ที่เชียงใหม่เรามีคนจีนมาเที่ยวในมช.กันเยอะมาก พอได้ไปเมืองจีนเราขอลองบ้าง ที่เราจะไปเรียกว่ามหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) เป็นมหาลัยที่มีชื่อเสียงได้รับการจัดลำดับเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศจีน มีอายุมากกว่า 100 ปี ได้รับการยกย่องเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในเมืองหางโจวอันสวยงามร่มรื่นแห่งนี้นั่นเอง พลาดไม่ได้ที่เราจะไปเยี่ยมชม
จากที่พักเราขึ้นรถสาย 16 ปี๊ดเดียวถึงนั่งชมเมืองไปเรื่อยๆ ลงป้ายหน้ามหาวิทยาลัยพอดี (อ่านชื่อป้ายไม่ออก ฟังก็ไม่ออกแต่ใช้เปิด Google Map บนรถไปด้วย ดูตำแหน่งเอาไว้พอใกล้จะถึงก็เตรียมตัวลง) รถเมล์จีนค่าโดยสารสองหยวนตลอดสาย (หนึ่งหยวน=ห้าบาท) และจอดทุกป้าย
มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงใหญ่โตอลังการตั้งแต่ประตูทางเข้า เรื่อยมาจนถึงรูปปั้นท่านประธานเหมา (จะเล่าเรื่อง Chairman Mao ต่อในตอนเที่ยวเซี่ยงไฮ้) มีต้นไม้ใหญ่เยอะ มีร้านค้าสำหรับนักศึกษา เราพยายามจะไปกินข้าวใน Canteen คือโรงอาหารของนักศึกษาแต่ล้มเหลวเพราะต้องใช้บัตรประจำตัวนักศึกษาเท่านั้นไม่รับเงินสด รวมๆบรรยากาศน่าส่งลูกหลานมาเรียน เราเองดูแล้วยังอยากมาเรียนใหม่อีกสักครั้งอยู่เชียงใหม่มาเรียนเดินทางมากับแอร์เอเซียเค้าเลย
เห็นป้ายนี้คือใช่แล้ว นี่คือประตูใหญ่ทางเข้าหน้ามหาลัยเจ้อเจียง
ตรงกลางสนามใหญ่จะเจอท่านประธานเหมา ยืนเด่นเป็นสง่าโบกมือทักทาย
ทางเดินไปหอพักนศ. บรรยากาศฤดูหนาวสงบร่มรื่น ที่ดื้อซนเห็นจะเป็นแมวมากกว่าคน แมวจีนชอบปีนต้นไม้?
ทางเดินไปโรงอาหาร
โรงอาหารนักศึกษาที่เราพยายามจะเข้าไปกิน แต่ไม่มีบัตรเลยอด
ร้านขายผลไม้ในมหาลัย ราคานักศึกษา
หอพักนักศึกษานับว่าสะอาดตัวตึกอาคารสภาพแวดล้อมโอเคเลย
• สำรวจรอบมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง
ไม่ต่างจากบ้านเราที่รอบมหาลัยต่างๆมักจะมีร้านค้า ร้านกาแฟเก๋ๆไว้รองรับนศ.ที่เบื่อหน่ายบรรยากาศในมหาลัยอยากออกมาสูดอากาศจิบ
กาแฟข้างนอกบ้าง ร้านรวงที่นี่ได้รับการออกแบบอย่างดีสวยงามมีแนว หลายร้านติดป้ายว่า We have proxy, VPN แปลความหมายคือเขาบอกว่าเน็ตของร้านเขาสามารถใช้เล่น Facebook, Google และอื่นๆที่ทางการจีนบล๊อกได้นั่นเอง ลองเข้าไปนั่งดูมันก็เล่นได้จริงๆ บางร้านมีกระดานหรือฝาผนังให้คนเขียนข้อความตามใจชอบ มีภาษาไทยหลายข้อความเลยทีเดียว ราคากาแฟปกติไม่แพง เหมาะนั่งหลบหนาวเล่นเน็ตอย่างยิ่ง
แม่น้ำด้านนอกติดกับรั้วข้างม. Casa Miel Cafe ร้านนี้อยู่เยื้องประตูหน้าม.
จิบกาแฟร้อนกับขนมปังอุ่นอบใหม่ๆ
Hipster สูงวัยชาวไชน่า
ใกล้มหาลัยยังมีตลาดสดอีกด้วย สะดวกดีงามมาก
ขนมหน้าตาคล้าย
ตือคาโคบ้านเรา แต่กลิ่นมาแรงจัดเต็มมาก
มีร้านเก๋ๆอีกมากมาย อย่างร้านนี้ IFE COFFEE ตรงข้ามประตูด้านข้าง
มาต่อร้านนี้ Peets Cafe มีคนไทยเคยมาเพียบ
TAHITI Cafe
หางโจวถือเป็นเมืองต้นแบบแห่งการเช่าจักรยานที่ประสบความสำเร็จและกำลังเป็นต้นแบบให้อีกหลายเมืองของจีนที่กำลังประสบปัญหาการจราจร รูปแบบคือเป็นบริการของรัฐโดยคิดค่าเช่าชั่วโมงแรกฟรี ชั่วโมงต่อไปสองหยวน มีจักรยานในโครงการมากถึง 50,000 คัน มีจุดจอดมากกว่า 2,000 จุด ผู้เช่าสามารถนำจักรยานไปคืนที่จุดใดก็ได้โดยไม่ต้องนำกลับมาที่จุดเดิม การเช่าจะใช้บัตร (ซื้อได้ตามตู้ให้บริการจะมีขาย) สามารถเติมเงินใส่บัตรได้ด้วย
มีเทคนิคการเช่าที่เป็นทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับคนที่ต้องการประหยัด เนื่องจากจุดจอดจักรยานในเมืองมีมากถึงสองพันจุด และค่าเช่านั้นฟรีสำหรับชั่วโมงแรก จึงมีคนหัวใสเช่าปั่นไปพอจะครบชั่วโมงก็นำมาจอดคืน แล้วก็สลับเอาคันใหม่ไปใช้ พอจะครบชั่วโมงก็ทำแบบเดิมอีก สรุปทั้งวันปั่นฟรีไม่เสียเงินเลย
จักรยานมีให้เช่ามากมายกว่า 50000 คัน พร้อมจุดจอดอีกกว่า 2000 จุด
• มอเตอร์ไซค์/จักรยานไฟฟ้าจีน
ใครมาหางโจวจะต้องได้พบสิ่งนี้ มันคือมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหรือจะเรียกจักรยานไฟฟ้าก็แล้วแต่ (แต่เราก็ไม่เห็นมีที่ปั่นนะ) หน้าตาก็เหมือนมอเตอร์ไซค์รุ่นเล็กๆที่บ้านเรานี่แหละแต่จะเงียบมากเพราะเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า เรียกว่าเข้ามาใกล้เราโดยที่ไม่มีเสียงเลย ตลอดทั้งเมืองหางโจวก็เลยไม่ค่อยสัมผัสถึงมลภาวะสักเท่าไหร่ทั้งควันและเสียง คือเดินๆไปไม่เหม็นควันรถ แต่อาจเหม็นควันบุหรี่แทน ประเด็นอีกอย่างคือเวลากลางคืนคุณจะมองรถพวกนี้ไม่ค่อยเห็น (เขาขับเร็วกันนะไม่ได้ขับช้า) เพราะรถพวกนี้มันต้องชาร์จไฟและพี่จีนเขาก็อยากประหยัด ก็เลยไม่เปิดไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยวใดๆทั้งสิ้น เรียกว่ามากันมืดๆเงียบๆแถมยังขับเร็วน่าหวาดเสียวเป็นยิ่งนัก อ้อ แต่เรื่องแตรไม่ต้องห่วงยังดังเหมือนเดิม อาวุธหนักเขาเลยล่ะขาดไม่ได้ต้องปี๊ดๆๆตลอด
คันนี้เป็นจักรยานไฟฟ้า มีชุดพร้อมถุงมือสวมสำหรับหน้าหนาวพร้อม มีเบาะให้คนซ้อนได้ด้วย
• สำรวจทะเลสาปซีหู (West Lake)
ซีหูคือทะเลสาปตั้งอยู่ใจกลางเมืองหางโจว เป็นหนึ่งในทะเลสาปที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ไ้ด้รับการยกย่องเป็น “สวรรค์บนดิน” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 จุดเด่นของทะเลสาปแห่งนี้อยู่ที่ ตัวทะเลสาปมีขุนเขาล้อมรอบ ทั้งในตัวทะเลสาปเองก็ยังมีขุนเขากลางน้ำอีกด้วย เรียกว่าสอดประสานกันอย่างลงตัว มองมุมไหนก็สวยไปหมด
บริเวณโดยรอบทะเลสาปได้จัดทำเป็นสวนสวยสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมล่องเรือชมทะเลสาปโดยเรือที่ได้รับการตกแต่งแบบย้อนยุค เข้ากับบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง รอบทะเลสาปยังเป็นที่ตั้ง
โบราณสถานโบราณวัตถุมากมาย รวมถึง
พิพิธภัณฑ์ต่างๆอีกกว่า 20 แห่ง เรียกว่าวันเดียวเที่ยวไม่หมดแน่นอนกับทะเลสาปแห่งนี้
บ้างก็มานั่งชมวิวเงียบๆคนเดียว
บ้างก็มาออกกำลังกายเป็นคู่ๆ
โปรแกรมยอดนิยม ล่องเรือชมทะเลสาปซีหู
ปั่นจักรยานรอบทะเลสาปก็ไม่เลว เขาจัดพื้นที่ไว้สวยงามน่าดูชม
• ร้านเก๋ๆรอบ West Lake
ด้านรอบนอก (บริเวณถนน) รอบทะเลสาปก็เป็นแหล่งรวมของร้านค้า ร้านอาหาร แกลเลอรี่ศิลปะจำหน่ายงานอาร์ตเก๋ๆ อยู่หลายร้าน ส่งผลให้บริเวณทะเลสาปยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีกเพราะไม่ว่าจะเดินไปส่วนไหนก็มีจุดให้ได้แวะอยู่ตลอดเวลา เตรียมรองเท้าดีๆไปนะครับด้วยความเป็นห่วง เดินกันขาลากแน่นอน
ร้านขายงานอาร์ตเก๋ๆ บริเวณถนนรอบทะเลสาปซีหู
สินค้าแฮนด์เมดเก๋ๆเหมาะเป็นของฝากของที่ระลึกก็มีขายบริเวณนี้
• สำรวจถนนคนเดินเมืองหางโจว (Hefang Street)
ถนนคนเดินสายโบราณชื่อว่าถนนเหอฟ่าง ตัดกับถนนคนเดินกินอีกเส้นชื่อว่าถนนจงซานหนาน (ถนนนี้จะพาไปลอดอุโมงค์) ร้านบนถนนเหอฟ่างจะเป็นพวกร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว บางร้านมีโชว์การละเล่นดึงดูดให้คนดู ร้านขายขนมมีการประสานเสียงเหออออ ห้าๆๆๆ จากบรรดาพนักงานชายหนุ่มเรียกให้สาวน้อยสาวใหญ่หยุดมองเป็นระยะๆ สินค้ามีมากมายทั้งผ้าไหม บางร้านขายชาเขียว ขายหิน ขายหยก ถุงมือ ถุงเท้า ไม้ปิงปอง สารพัดสินค้า สาวกนักช๊อปไม่ควรพลาด
ตัดมาถนนจงซานหนาน ถนนนี้จะนำไปสู่ Snack Street คือเป็นร้านขายของกินมาเปิดสองข้างทาง มีทั้งแบบยืนกินเดินกิน มีบางร้านเอาผ้าใบมากั้นเป็นห้องให้นั่งหลบหนาว ของกินมีสารพัดราคาย่อมเยาว์ ตั้งแต่ของธรรมดาพวกก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้น ซาลาเปาทอด ไปจนถึงพวกแมลงต่างๆ แมงมุม แมงป่องทอดกรอบเสียบไม้รอผู้กล้ามาเขมือบ เดินกินเดินเล่นเพลิดเพลินดี
อุโมงค์สุดถนนอีกด้านวันที่เรามา ร้านกาแฟที่ตั้งใจจะมานั่งปิดกิจการเค้าไปอีกสุดหัวมุมอีกด้าน
ตอนกลางวันคนไม่เยอะเท่ากลางคืน ร้านค้าจะเปิดสายๆเที่ยงๆเป็นต้นไป
อยากดูวิถีจีนแท้ๆแนะนำถนน Gaoyin อยู่ติดกับ Hefang บรรยากาศแบบว่าเซอร์รีล
ร้าน Momo Coffee บนถนน Gaoyin ถนนคู่ขนานกับ Hefang Street
ตรงหัวมุมถนนมีมหกรรมต่อแถวซื้ออะไรบางอย่าง ต้องรีบเข้าไปสำรวจ
มันคือ แป้งทอดลักษณะคล้ายโรตี รสชาติจืดๆ ขายดีคิวยาวตลอด
Craftbeer shop บนถนน Gaoyin เบียร์เยอะ โปรเด็ด ต้องไปชิมเบียร์คราฟของจีนบอกเลย
Baby IPA คือเบียร์ที่เราบอก ยังไงต้องลอง Aishang Beer House คือชื่อร้าน มองดีๆร้านเล็กนิดเดียว
• Seafood Street แหล่งรวมอาหารทะเลและโรงหนังจีน
ตอนเย็นเราตั้งใจจะไปดู
Seafood Street ซึ่งอยู่อีกฟากนึงของแม่น้ำ เหมือนเดิมคือใช้บริการของ Google Map บอกว่านั่งรถเพียงต่อเดียวก็ไปถึงแล้ว ก็นั่งไปเรื่อยๆ (ค่ารถสองหยวน ขึ้นรถด้านหน้าลงด้านหลังนะครับ) พอไปถึงพบว่ามันเปล่าเปลี่ยวเหี่ยวหัวใจมาก มีร้านอยู่เพียง 4-5 ร้าน หน้าร้านจะมีชายฉกรรจ์คอยเรียกแขกประมาณว่าเชิญครับๆ คงเพราะมีการทำถนนวางท่องฝุ่นเยอะ จึงเปลี่ยนแผนเข้าไปดู
โรงหนังจีนที่อยู่ใกล้ๆแทน ลักษณะเป็นตึกสูงห้าชั้น ต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้นห้า ข้างบนแบ่งเป็นโรงหนังประมาณห้าโรง ก็คล้ายๆเมเจอร์บ้านเรา มีร้านกาแฟ ร้านขายขนม อ้อ และมีตู้คีบตุ๊กตาด้วยนะ หยอดครั้งละหนึ่งหยวน เราลองละเกือบได้พลาดไปนิดเดียว
โรงหนังจีน บรรยากาศเหมือนบ้านเรา หนังเหมือนกันด้วย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เนื่องจากเราเป็นคนที่ไม่ได้กินมากหรือกินบ่อยนัก ทริปของเราจึงไม่ได้มีของกินมากเท่าไหร่ ที่จริงก็กินไปพอสมควรแต่บางร้านมันก็ธรรมดามากจนไม่รู้จะแนะนำยังไง หลายครั้งเรากินเพื่อประทังความหิวเท่านั้นเพราะเราไม่อยากเสียเวลามากเกินไป
• หิวตอนเที่ยงคืนจะทำยังไง
กว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบตีหนึ่งแล้ว เราพักย่านถนนคนเดินเหอฟ่าง (Hefang Street) ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่ามีร้านค้าขายของมากมายรวมทั้งร้านอาหารด้วย แต่เวลาตีหนึ่งแบบนี้ไม่มีร้านเปิดเลย เหลืออยู่ร้านเดียวถ้วนเป็น
ร้านปิ้งย่างแบบเสียบไม้ เมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องตามนั้น ลองสั่งมะเขือม่วงย่างมากกิน รสชาติดีมาก เขาย่างอย่างดีราดน้ำยำเผ็ดนิดๆ และก็มีหอยนางรมย่างที่บอกได้ว่าเด็ดเป็นเมนูที่ต้องลอง กินแล้วคึกไม่อยากหลับอยากนอนกันเลย ส่วนอย่างอื่นก็ปกติราคาเช็คบิลมาห้าสิบกว่าหยวน ถือว่าไม่ถูกไม่แพง
ปิ้งย่างเสียบไม้อร่อยมากยิ่งตอนหนาวๆนะสุดยอด หัวมุมถนนจงซานหนาน ใกล้ซุ้มประตูปราสาท
เมนูแนะนำ มะเขือม่วงย่างราดน้ำจิ้มเผ็ด
อันนี้อย่างเด็ด หอยนางรมย่างราดน้ำจิ้ม กินคู่กับเบียร์จีนเข้ากันๆ
ภาพมุมกว้างเผื่อใครไปตามหาแล้วไม่เจอ
ภาพมุมกว้างเผื่อใครไปตามหาแล้วไม่เจอ ใครชอบลองของแปลกๆช่วงเย็นเชิญได้ที่ถนน จงซานหนาน
หน้าหนาวถ้าหนาวมากๆเขาจะกางเต๊นท์ผ้าใบให้เข้าไปนั่งกินหลบลมหนาว
• หิวแบบด่วนๆกับ Fast Food Chinese Style
เช้านี้มีภารกิจจะต้องไปทะเลสาปซีหู เราเริ่มออกเดินจากต้นถนนเหอฟ่างไปเรื่อยๆจนสุดเขตถนนมาเจอกับร้านหน้าตาประมาณฟาสต์ฟู๊ด และก็ดังคาดเขาเป็นฟาสต์ฟู๊ดแบบจีน วิธีการสั่งคือ ไปที่เคาน์เตอร์บอกชื่ออาหารที่ต้องการ (พูดไม่ได้ให้ชี้เอา) จ่ายเงินตรงนั้น รับเบอร์โต๊ะมาตั้งไว้ รอสักพักพนักงานจะยกอาหารมาส่งตามเบอร์ของเรา ราคาก็ไม่ได้ถูก ปานกลางประมาณ 35-40 หยวนต่อจาน
ร้านอาหารที่จีนไม่มีน้ำเปล่าให้ ไม่มีกระดาษทิชชู่ ไม่มีไม้จิ้มฟันให้บริการเหมือนบ้านเรา ต้องเตรียมไปเอง น้ำเปล่าในร้านราคาค่อนข้างแพง (ขนาดน้ำเปล่าข้างนอกถูกสุดยังขวดละสามหยวน) ส่วนเครื่องปรุงก็แทบไม่มีเลย ถ้ามีก็น้อยมาก บางร้านไม่มีช้อนให้ต้องกินด้วยตะเกียบเท่านั้น ดังนั้นโต๊ะจะค่อนข้างโล่ง อีกอย่าง ตามร้านทั่วไปๆข้างทางส่วนมากจะเป็นร้านเล็กๆมีโต๊ะไม่กี่ตัวเขาจะนั่งด้วยกันไม่ถือสา ถ้ามีเก้าอี้ว่างก็นั่งเลย อย่ามัวลีลาเพราะเดี๋ยวโดนตัดหน้าไปแล้วจะอดกิน
ข้าวหน้าสเต็กเนื้ออร่อยดี ราคา 35-40 หยวน
• ไก่ขอทาน ตำนานมังกรหยก
มาถึงหางโจวหนึ่งในเมนูขึ้นชื่อที่พลาดไม่ได้เลยคือ “ไก่ขอทาน” ตำนานมีอยู่ว่าขอทานคนหนึ่งอดอยากมากได้เข้าไปขโมยไก่ในบ้านเศรษฐี พอได้ไก่มาด้วยความกลัวจะถูกจับได้จึงเอาดินเหนียวพอกตัวไก่ แล้วโยนเข้าในกองไฟ ภายหลังจึงนำไก่มากระเทาะดินออกทำให้ขนและหนังไก่หลุดติดมากับดิน เหลือแต่เนื้อไก่ที่มีรสชาติอร่อย เป็นที่มาของไก่ขอทานจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังไปปรากฎในนิยายจีนเรื่องมังกรหยกโดย อั้งชิกกง หัวหน้าพรรคกระยาจกเป็นผู้คิดค้นสูตรนี้เป็นคนแรก เป็นที่มาของชื่อไก่ขอทาน
ร้านที่เราไปลองกันอยู่บริเวณฟู๊ด เซ็นเตอร์บริเวณหัวถนนเหอฟ่าง มีร้านขายไก่ขอทานมากมายหลายร้านเลือกร้านไหนก็ได้หนึ่งร้าน ราคาตัวละ 30 หยวน เขาจะใส่ถุงพร้อมให้ถุงมือพลาสติกมาสองคู่ (ใส่แล้วไม่ถนัดเลย) จากนั้นหาที่ว่างนั่งลุยกันได้เลย ไก่นุ่มเปื่อยมากสมคำร่ำลือ (ระหว่างกินเจอขอทานจีนของจริงด้วย คือเดินขอเงินไปเรื่อยๆ พอไปเจออาหารที่คนกินเหลือทิ้งไว้ก็หยิบมากินเลย แบบว่าอดอยากหิวโหยจริงๆนะยังไงยังงั้น)
พอกดินแล้วก็เผาในโอ่งกันอย่างงี้
ไก่เปื่อยนุ่มมาก แต่ไม่มีน้ำจิ้มแบบบ้านเรานะ กินทั้งอย่างงี้เลย
• Food Center ถนนเหอฟ่าง แหล่งรวมอาหารนานาชนิด
แหล่งกินอีกหนึ่งแห่งย่านกลางถนนเหอฟ่าง หน้าตาเหมือนฟู๊ดเซ็นเตอร์ดูทันสมัยแสงไฟสว่างดูท่าทางสะอาดสะอ้านดี มีอาหารให้เลือกมากมายหลายร้าน แต่ไม่รับเงินสดต้องซื้อการ์ดขั้นต่ำ 50 หยวนถึงจะมีสิทธิแลกคืนได้ โต๊ะนั่งมีน้อยตามระเบียบต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกันเลย มีทั้นั่งชั้นสองแต่คนไม่ค่อยเดินขึ้นไปเพราะติดห้องน้ำ นั่งกินมองดูโต๊ะข้างๆก็อย่าแปลกใจ ไม่ว่าจะเป็นสาวสวยแค่ไหนเธอก็คายเศษอาหารวางบนพื้นโต๊ะอยู่ดี กินเสร็จก็กองไว้ตรงนั้นทั้งเศษก้างเศษกระดูก ไม่ต้องไปมองมากเดี๋ยวก็มีคนมาเก็บใกล้ๆกันเดินไปอีกหน่อยจะมีฟู๊ดเซ็นเตอร์บ้านๆ จ่ายเงินสด อาหารทุกอย่างมีเหมือนกัน
บรรยากาศด้านใน Food Center ถนนเหอฟ่าง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
จบทริปหางโจวเราจะไปตะลุยต่อกันที่มหานครเซี่ยงไฮ้ อยู่ห่างไปทางทิศเหนือ 180 กิโลเมตร เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากหางโจวเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ท่านใดที่มีสถานที่น่าสนใจแนะนำเจ๋งเข้ามาได้ อย่าลืมแวะมา Comment มาแชร์ให้เจ๋งได้รู้ตามช่องด้านล่างหรือ
เจ๋งจะตามไปรีวิวอย่างทันท่วงที